วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555


Business Model : พฤติกรรมผู้บริโภค

1.รสนิยม และความชอบ บางครั้งผู้บริโภคยังไม่เข้าใจว่าสินค้าหรือบริการนั้นๆตอบสนอง รสนิยมและความชอบของเขาหรือไม่ สิ่งที่ต้องทำก็คือการประชาสัมพันธ์สินค้า ไม่ว่าจะออกมาในรูปโฆษณา หรือกิจกรรมส่งเสริมการขาย ดังนั้นเราสามารถหาข้อมูลส่วนนี้ได้จาก”การโฆษณาประชาสัมพันธ์” อีกทั้งข้อมูลจากการโฆษณายังบอกเราได้ถึง”ตลาดเป้าหมาย”ที่บริษัทตั้งเอาไว้
2.รายได้ ถ้าผู้บริโภคมีรายได้มากขึ้นก็มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายมากขึ้น อีกทั้งยังใช้เป็นข้อมูลในการแบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็นส่วนๆเพื่อกำหนด”ลูกค้า เป้าหมาย
3.ความคาดหวังในอนาคต ประเด็นหนึ่งที่พบเห็นกันคือ การคาดการว่าสินค้านั้นจะมีราคาสูงขึ้นในอนาคต เราสามารถเห็นการเตรียมการของบริษัทที่รองรองรับความคาดหวังของลูกค้าได้จาก การโฆษณาประชาสัมพันธ์นั่นเอง
4.จำนวนผู้ซื้อ จำนวนผู้ที่จะซื้อสินค้านั้นมากพอที่จะทำให้บริษัทมีกำไรคุ้มกับการลงทุนไป หรือไม่
5.สินค้าที่ใช้ร่วมกับสินค้าหลัก และสินค้าทดแทน สินค้าและบริการหลายชนิดจำเป็นต้องมีสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ร่วมกัน เช่นรถยนต์ต้องใช้น้ำมัน โทรศัพท์ต้องใช้กับเครือข่าย กาแฟต้องใช้คู่กับครีมและน้ำตาล สำหรับสินค้าทดแทนนั้นเช่น NGVทดแทนน้ำมัน โทรศัพท์มือถือทดแทนโทรศัพท์บ้าน คอมพิวเตอร์ทดแทนเครื่องพิมพ์ดีด ถ้าสังเกตให้ดีตอนนี้โทรศัพท์มือถือกำลังจะทดแทนกล้องดิจิตัล คุณๆสังเกตกันไหมครับว่าในชีวิตประจำวันของท่านเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ถ้าท่านไม่มีครีมชงกาแฟท่านอาจใช้นมข้นแทนได้ ท่านไม่พกกล้อง(ที่แม้จะบ้างเฉียบ)ไปเที่ยวเพราะโทรศัพท์มือถือของท่านก็มี กล้องคุณภาพสูงติดมาด้วย ท่านจะไปซื้อของที่ซูปเปอร์สโตร์แทนร้านค้าข้างบ้าน ปัจจัยเหล่านี้นั่นเองครับที่ค่อยๆแทรกซึมเข้าสู่ผู้บริโภคไม่เว้นแม้แต่ตัว คุณเอง ไม่ว่าปัจจัยนั้นจะเป็นราคาของสินค้าส่วนควบหรือสินค้าทดแทน ความสะดวกและความตื่นตาตื่นใจ(ประสบการณ์)ในการใช้งานหรือบริการ ส่วนนี้ท่านต้องดูว่าบริษัทสามารถ “ล็อคลูกค้า”(Lock-in) ให้อยู่ได้อย่างไร เช่นติดตังระบบรับสัญญาณโทรทัศน์ฟรี แต่ถ้ายกเลิกก่อนกำหนดต้องถูกปรับ ส่วนบางธุรกิจจะสร้างเครือข่ายให้คนมาใช้มากๆคนที่จะออกจากระบบจะออกได้ยาก เพราะจะเกิดความไม่สะดวก(เป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง) ส่วนบริษัทที่จะส่งสินค้าทดแทนจะ”ลดต้นทุนในการย้าย”(Switching cost) ของผู้บริโภคอย่างไร เช่นถ้าจะให้คนใช้NGVเพิ่มขึ้นก็ลดราคาค่าติดตั้งถังลง หรือประชาสัมพันธ์ให้ใช้แก๊สโซฮอลซึ่งถูกกว่าน้ำมันให้มากขึ้น
-----------------------------------------------------------
บริษัทที่กำหนด ตลาดเป้าหมายได้ชัดเจน จะมีสินค้าที่ตอบสนองลูกค้าได้อย่างลงตัว และที่สำคัญกำหนดจะกำหนดราคา การส่งเสริมการขาย และสถานที่ที่ขายได้อย่างเหมาะสมและตรงประเด็นที่สุด ไม่ทำอะไรสะเปะสะปะ
การกำหนดราคาและ การส่งเสริมการขายนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเมื่อกำหนดตลาดเป้าหมายได้แล้ว ก็ต้องกำหนดราคาและการส่งเสริมการขายให้เหมาะสมกันด้วย แน่นอนว่าการกำหนดราคานั้นไม่ใช่แค่ดูว่าบริษัทมีต้นทุนเท่าไรและบวกเพิ่ม กำไรที่ต้องการเข้าไปเท่านั้น แต่ยังจะต้องพิจารณาว่าลูกค้าให้มูลค่าแก่สินค้าและบริการของเราเท่าไร หากกำหนดราคาสูงไปลูกค้าก็ไม่ซื้อ กำหนดราคาต่ำไปบริษัทก็เสียโอกาส
การส่ง เสริมการขายก็เช่นกัน ไม่ใช่แค่เพียงลดราคา แต่จะต้องหาวิธีการส่งเสริมการขายที่ไม่ใช้ราคาเข้ามาชักนำลูกค้า หรือหากจะลดราคาก็ต้องรู้ว่าลดราคาลงแค่ไหนจะเพิ่มยอดขายได้เท่าไร ในช่วงเวลาไหน และทำนานเท่าไร
--------------------------------------------------------------------

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การหามูลค่าหุ้น
1.การหามูลค่าหุ้นจากเงินปันผล (Dividend Discount Model)
2.การคิดมูลค่าแบบการใช้ส่วนลดของกระแสเงินสดอิสระ (DCF – Discount Cashflow Model)
3.การวัดมูลค่าหุ้นที่กำลังเติบโต (Growth Stock Valuation)
4.การหามูลค่าหุ้นวัฎจักร (Cyclical Stock)
5.การหามูลค่าของวอร์แรนต์ (Warrant)
สิ่งที่ต้องทำสำหรับผู้เริ่มต้น
1.เริ่มศึกษาหาความรู้ในหลักการลงทุนที่ถูก ต้อง
2.หาข้อมูลของบริษัท จากรายงานประจำปี แบบ56-1 และงบการเงิน
3.เมื่อแน่ใจในข้อมูลบริษัทที่วิเคราะห์มาอย่าง ดีแล้ว คราวนี้มาดูว่าราคาหุ้นนั้นมันสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าที่เราประเมินได้ มีส่วนต่างความปลอดภัยเพียงพอไหม สิ่งนี้จะช่วยทำให้คุณนิ่งมากขึ้นเพราะอย่างไรก็ตามคนไม่เจ็บตัวมากแน่ๆ
4.ติดตามผลดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูพัฒนาการทั้งด้านดีและด้านที่อ่อนแอของบริษัทเพื่อประกอบการตัดสินใจ ว่าจะขายออกหรือถือต่อไป
5.โดยปกติผมจะใช้เวลาในการศึกษาบริษัทนั้น เป็นเวลานานก่อนจะซื้อ ดังนั้นผมไม่มีปัญญาศึกษาหุ้นได้มากมาย ผมจึงมีหุ้นเพียงไม่เกินสี่บริษัทเท่านั้น หรือช่วงที่มากสุดก็ไม่เกินห้าบริษัท 
              ถ้าคุณลดความเสี่ยงนั่นคือคุณทำความเสี่ยงให้ลดลงไปด้วยความรู้ความเข้า ใจในบริษัทที่ชาวบ้านรู้แค่ผิวเผิน และแน่นอนคุณได้เปรียบคนอื่นเขาอยู่หลายก้าว
------------------------------------------------------------------------
การซื้อหุ้นขณะที่หุ้นกำลังถูกเลหลัง ถือว่าเป็นกลยุทธในการลงทุนแบบหนึ่งเลยทีเดียว 
หุ้นก้นบุหรี่(Cigar Butt) ก็ได้ คือหุ้นเหล่านี้มีราคาถูกเมื่อเทียบกับมูลค่า แต่ถ้าราคามันเข้าใกล้มูลค่าแล้วสิ่งที่ต้องทำคือต้องรีบขายมันออกไป การค้นหาหุ้นประเภทนี้ต้องใช้ความพยายามมากสักหน่อย ต้องคอยตรวจสอบงบการเงิน ค้นหาข้อมูลทางธุรกิจเพื่อตามรอยการเปลี่ยนแปลงของกิจการให้พบ และที่สำคัญหุ้นประเภทนี้มีอยู่ตลอดเวลา ให้ผลตอบแทนที่สูงในเวลาไม่นาน
       ส่วนหุ้นของบริษัทที่มีรูปแบบการดำเนินธุรกิจ(Business Model) ที่ดีนั้นอาจจะต้องค้นหากันมากหน่อย ต้องศึกษารูปแบบการดำเนินธุรกิจให้ลึกซึ้ง ธุรกิจที่มีรูปแบบธุรกิจที่ดีนั้นมักจะสามารถสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนได้อยู่ ตลอดเวลา ฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องรีบขายหุ้นไปในระยะเวลาสั้นๆ
--------------------------------------------------------------------------

มูลค่า ต่อลูกค้า (Customer Value): ทรัพยากรที่บริษัทใช้นั้น สามารถสร้างสินค้าและบริการที่มีคุณค่าต่อลูกค้าหรือไม่?
ลักษณะ เฉพาะของทรัพยากร (Rareness): มีเพียงบริษัทนี้เท่านั้นหรือไม่ที่มีทรัพยากรนี้? ถ้าไม่ ความสามารถที่บริษัทใช้ทรัพยากรนี้สูงกว่าคู่แข่งอย่างไร?
ความ สามารถในการเลียนแบบ (Immutability): บริษัทอื่นสามารถลอกเลียนแบบได้ง่ายหรือไม่?
การทดแทนกันได้ (Substitutability): มีทรัพยากรอย่างอื่นที่สามารถทดแทนกัน และสามารถสร้างคุณค่าต่อลูกค้าได้เท่าเทียมกันหรือไม่?
ความเหมาะสม ของทรัพยากรที่บริษัทมี (Appropriability): ใครเป็นผู้ได้ประโยชน์จริงๆ จากทรัพยากรนี้
-------------------------------------------------------------
ธรรมชาติของธุรกิจค้าปลีกคือ ซื้อสินค้าเงินเชื่อ ขายสินค้าเงินสด ยิ่งขายมากยิ่งได้เงินสดมาเก็บไว้(ในรูปเจ้าหนี้การค้า)มากซึ่งไม่เสียดอก เบี้ย ประหยัดต้นทุนเงินทุนได้มากโข

จริงๆแล้วค่า ROA นี้ เราจะต้องนำมาเปรียบเทียบกับต้นทุนเงินทุนที่มาจากทั้งหนี้สินและเงินทุนจาก ผู้ถือหุ้น ถ้า ROA สูงกว่าต้นทุนเงินทุนแสดงว่าบริษัทนั้น กำลังสร้างมูลค่าเพิ่ม ในบางครั้งเราพบว่า ROA สูงมาก แต่เราไม่ได้ดูว่าต้นทุนเงินทุนก็สูงด้วย

บริษัททั่วๆไปแล้ว เงินทุนมักจะมาจากสองส่วนคือ 
1.เงินกู้ซึ่งเป็นการก่อหนี้ 
2.อีกส่วนหนึ่งมาจากส่วนทุนของผู้ถือหุ้น

---------------------------------------------------------------------------------------
ผล ตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นคาดหวัง
1.ค่าเสียโอกาส
2.ค่าชดเชยความเสี่ยง


             ปกติแล้ว ROE ควรจะมีค่าสูงกว่า ROA ในกรณีที่บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย



Common Earning Leverage, CEL (Net Income/EBIT) หมายถึง ในกำไรสุทธินั้นเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของEBIT เพราะเนื่องจาก กำไรสุทธินั้นคือ EBIT – ดอกเบี้ยจ่าย  ภาษี หรือ หมายถึงว่า ในEBIT 100% ผู้ถือหุ้นมีสิทธิกี่เปอร์เซ็นต์
Capital Structure Leverage, CSL (Assets/Shareholder’ Equity) หมายถึงใน สินทรัพย์100% นั้น ใช้ส่วนผู้ถือหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์
CEL จะสูงหรือ ต่ำนั้นขึ้นอยู่กับ ดอกเบี้ยจ่าย และภาษี ที่น่าสนใจคือดอกเบี้ยจ่าย ส่วนภาษีนั้นจ่ายในอัตราเท่ากันเกือบทุกบริษัท ตัวแปรของดอกเบี้ยจ่ายมีสองส่วน คือ ถ้ามีหนี้มาก ก็เสียดอกเบี้ยมาก หรือ อัตราดอกเบี้ยที่บริษัทเสียสูงหรือต่ำ ค่าๆนี้จะไปสัมพันธ์กับ CSL


CSL จะสูงหรือต่ำนั้นให้ดูว่า สินทรัพย์ที่มีอยู่ทั้งหมดมาจากส่วนทุนกี่เปอร์เซ็นต์ ค่าๆนี้ควรมีค่าไม่น้อยไปกว่าในกรณีของบริษัทที่ดำเนิน งานอย่างต่อเนื่องได้ ไม่นับรวมบริษัทที่ขาดทุนเกินทุน ค่านี้น่าสนใจตรงที่ในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยต่ำๆ การใช้เงินกู้มาลงทุนจะทำให้ROEสูงขึ้น เพราะCELจะ มีค่าไม่ต่ำ เมื่อคูณกับCSLที่มีค่าสูงๆ (ใช้เงินกู้มาก) เมื่อนำไปคูณกับROAแล้วจะทำให้ROEสูงกว่า ROAมาก แต่ในทางกับกัน หากอัตราดอกเบี้ยสูง การมีCSLสูง มันจะไปลดROEให้ ต่ำลง


ดัง นั้นพอจะสรุปได้ว่า ตราบใดที่ ROA มี ค่าสูงกว่าอัตราดอกเบี้ย ตราบนั้น ROEก็จะยังสูงกว่าROA การหาค่าต่างๆเหล่านี้ออกมาก็เพื่อตรวจสอบว่า การที่ROEสูง นั้น สูงมาจาก ROA ซึ่งเป็นการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ หรือ ว่าเกิดจากการใช้ข้อได้เปรียบจากการก่อหนี้ในสภาวะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ใน ระดับต่ำ
Business Model
รูปแบบธุรกิจคือแนวทางที่ผ่ายบริหารใช้ในการที่จะกำหนดความสามารถ ในการแข่งขันเพื่อใช้ในการการกำหนดรูปแบบการนำเสนอสินค้าและบริหารเพื่อให้ ได้มาซึ่งรายได้และโครงสร้างต้นทุนที่ทำให้เกิดกำไรที่น่าพอใจรวมไปถึง สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในการผลิตสินค้าและบริการนั้นได้อย่างน่าพอ ใจ
1.ผลกำไรและผลตอบแทนจากการลงทุนที่น่าพอใจ ตัวที่จะวัดว่ากำไรที่ได้นั้นมันคุ้มไหมสำหรับการลงทุนก็คือผลตอบแทนจาก การลงทุนหรือ Return on investment 
2.เรื่องของรายได้และต้นทุนซึ่งเมื่อจับมาหักลบกันแล้วก็คือกำไร การจะพิจารณาโครงสร้างรายได้และกำไรเราก็ต้องพิจารณาการนำเสนอสินค้าและ บริการไปพร้อมๆกันครับ เพราะรายได้และต้นทุนนั้นมาจากการขายสินค้าและบริหาร บริษัทอาจจะเลือกที่จะขายสินค้าหรือบริการที่ราคาสูง แต่ปริมาณไม่สูงมาก โครงสร้างต้นทุนจะต้องเหมาะสมกับรายได้ การขายสินค้าและบริการที่ราคาสูงแต่ต้นทุนก็สูงตามนั้นอาจจะทำให้มีส่วนต่าง ราคากับต้นทุนที่น้อยเมื่อไปคูณกับปริมาณขายเข้าไปอาจมีกำไรไม่เพียงพอ บางบริษัทเลือกที่จะขายของในราคาถูกแต่เน้นที่ปริมาณมากๆก็ต้องมีโครงสร้าง ต้นทุนและรายได้ที่ไปด้วยกัน การขายสินค้าราคาถูกส่วนต่างราคากับต้นทุนนั้นแน่นอนต้องต่ำอยู่แล้วดังนั้น จำเป็นต้องขายให้ได้มากๆเพื่อให้ได้เม็ดเงินมากพอที่จะสร้างผลตอบแทนจากการ ลงทุนที่น่าพอใจ
3.การนำเสนอสินค้าและบริการนั้นบริษัทต้องเข้าใจพฤติกรรม และความต้องการของลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้เพื่อนำไปกำหนดโครงสร้างรายได้และต้นทุนให้เหมาะสม รวมไปถึงการพิจารณาถึงความสามารถในการแข่งขันของกิจการเองว่าทำได้ไหม คู่แข่งทำได้ไหม เราจะหนีคู่แข่งอย่างไร รวมไปถึงการกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจในส่วนต่างๆเพื่อเป็นแผนที่นำกิจการไปสู่เป้า หมายสุดท้ายคือการสร้างผลกำไรและผลตอบแทนที่น่าพอใจ
----------------------------------------------------------------------
            ตัวผลักดันมูลค่าที่สำคัญของอุตสาหกรรมนั้น (Critical Industry Value Driver)” ซึ่งองค์ประกอบนี้จะเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญต่อสถานะ (Position) ของบริษัทมาก เช่นบริษัทเป็นต้องการที่จะเป็นผู้นำในด้านต้นทุน สิ่งที่เป็นตัวผลักดันมูลค่าที่สำคัญของอุตสาหกรรมนั้นคือการที่จะต้องทำให้ เกิดความประหยัดจากขนาดให้ได้ การจัดซื้อ จัดจำหน่าย หรือการใช้กำลังการผลิตจะต้องถูกจัดการให้เกิดต้นทุนที่ต่ำ บางบริษัทต้องการที่จะเป็นผู้นำที่สร้างความแตกต่าง (Differentiation) ตัวผลักดันมูลค่าที่สำคัญของอุตสาหกรรมนั้นคือ การสร้างนวัตกรรมทั้งด้านการจัดการ ผลิตภัณฑ์และบริการ การจัดหาวัตถุดิบ การจำหน่าย การผลิต ในปัจจุบันนี้เกิดแนวคิดมาใหม่คือ “การ สร้างพื้นที่ใหม่ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการแข่งขัน” หรือ Blue Ocean Strategy ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ใช่ของใหม่ มันคือการสร้างความแตกต่างให้เกิดในตัวสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงการบริหารต้นทุนที่ต่ำ หรือ สินค้าต้องแตกต่างและเป็นผู้นำด้านต้นทุนด้วย และจะต้องทำก่อนใครเพื่อไม่ให้คู่แข่งขันรายอื่นเลียนแบบและตามได้ทัน
-----------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

มือใหม่ part2
1.ตรวจสอบการลงทุนของเราว่าผิดพลาดตรงไหน
นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ เมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้นแทนที่จะโทษคนอื่น ก็มักจะโทษตนเองว่า เป็นเพราะตัวเราเองที่ทำ”ผิด” แล้วก็จะค้นหาสาเหตุของปัญหาว่าข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากอะไร เราขาดทุนเพราะสาเหตุใด จากนั้นก็แก้ไขเพื่อที่จะไม่ทำผิดพลาดซ้ำอีกในอนาคต
2.ให้เวลากับการลงทุนที่มากพอ
 “อย่าคิดว่าวิธีการลงทุนของท่านที่ใช้อยู่นั้นจะประความสำเร็จในระยะเวลาอัน สั้น” เพราะนักลงุทนที่จะประสบความสำเร็จจากการลงทุนในตลาดหุ้นนั้น ต้องเป็นคนที่ทำผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอในระยะยาว
3.ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ
เนื่องจากตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่ไม่อยู่นิ่ง มีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในโลกการลงทุนอยู่เสมอ วิธีการลงทุนที่ใช้ได้ดีในวันนี้อาจจะใช้ไม่ได้ผลในอนาคตก็เป็นไปได้ การหาความรู้ในการลงทุนเพิ่มเติมอยู่เสมอ จะช่วยทำให้ท่านปรับปรุงการลงทุนของท่านให้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของโลกการลงทุนอยู่เสมอ
-----------------------------------------------------------------------

ข้อเสียของวีไอ


1.ยิ่งนักลงทุนมีตระแกรงร่อนใน การเลือกหุ้นมากเท่าไหร่ ตัวเลือกในการลงทุนก็น้อยลงไปเท่านั้น
2.บางครั้งนักลงทุนปล่อย ให้โอกาสหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะมีคำถามอะไรบางอย่างในบริษัทนั้น
3.บางที นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าเห็นโอกาสในการลงทุนแต่คว้าไม่ได้เพราะ เงินที่มีนำไปลงทุนในหุ้นอื่นจนหมด
4.นักลงทุนต้องมีความอดทนมากกว่าปกติในการที่เราจะถือบริษัทนี้ไปตลอด เพราะนัก ลงทุนต้องทำใจที่เห็นราคาหุ้นลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงที่ตลาดผันผวนอย่างมาก 
5.นักลงทุนต้องมีความ อดทนมากกว่าปกติ เวลาที่เห็นราคาหุ้นตัวอื่นๆพุ่งแซงหน้าหุ้นของบริษัทที่นักลงทุนถืออยู่
------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นในการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจธุรกิจ

  • 1. กำไรขั้นต้นของบริษัทมีสัดส่วนร้อยละเท่าไรของยอดขาย ข้อนี้สำคัญมากครับ สินค้าและบริการที่สุดยอดจริงๆนั้น สามารถที่จะตั้งราคาขายได้สูงในขณะที่ต้นทุนไม่สูงนัก ยกตัวอย่างสินค้าที่มีตราสินค้าที่แข็งแกร่ง ผู้ซื้อจ่ายค่าตราสินค้ามากกว่าครึ่งหนึ่งของราคาสินค้าด้วยซ้ำไป แต่ในตราสินค้านั้นมันจะประกอบไปด้วย คุณภาพที่สูง ความเชื่อถือได้ในบริการ และภาพลักษณ์
  • 2. วิธีการทำธุรกิจ การนำเสนอสินค้าและบริการออกมาสอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนั้น หรือไม่ และมีการปรับปรุงให้ทันยุคทันสมัยตลอดหรือไม่ เรื่องนี้สำคัญมากครับ เพราะสินค้าและบริการบางอย่างก็มาเร็วไปเร็วเหลือเกิน
  • 3. กำไรสุทธิมีสัดส่วนร้อยละเท่าไรของยอดขาย หากกำไรขั้นต้นสูง แต่ยังมีต้นทุนในการขายและบริหารในระดับที่สูง อาจทำให้กำไรสุทธิต่ำก็เป็นได้ เพราะในบางธุรกิจมีการแข่งขันกันลดแลกแจกแถมเสมอ ฉะนั้นค่าใช้จ่ายในการขายและการโฆษณาจะสูงมาก

การทำผลตอบแทนที่ดีอย่าง”ต่อเนื่อง” ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการสร้างพอร์ตการลงทุนในระยะยาว
--------------------------------------------------------------------
การ ไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศเป็นสำคัญ นักลงทุนต่างประเทศจะได้ประโยชน์สองต่อคือ กำไรจากราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และกำไรจากค่าเงินสกุลท้องถิ่นที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์
-------------------------------------------------------------------
การซื้อหรือขายหุ้นแบบแบ่งไม้หรือหลายๆ order ก็ลดผลกระทบของโชคชะตาได้ เพราะมีบ่อยครั้งที่เราอาจจะพลาดการซื้อหรือขายหุ้นเพราะตั้งซื้อหรือต่ำไป หรือขายสูงไปเพียง 1 step โดยไม่ได้กระจาย order แล้วบอกว่าโชคไม่ดี ผมคิดว่าเราสามารถเอาชนะโชคชะตาในเรื่องนี้ได้ไม่ยากนัก การตั้งซื้อหรือขายที่เลขกลมๆ เช่น 0 5 อาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก หลายๆ ครั้งที่เสื้อตัวละ 99 บาทจะขายดีกว่าเสื้อตัวละ 100 บาททั้งๆ ที่ราคาต่างกันเพียง 1 บาท











วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555


มือใหม่

1.สำรวจตัวเอง สิ่งที่น่าเตรียมตัวสำหรับการเข้าตลาดหุ้นมากที่สุดคือเรื่องของ”จิตใจ” นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่สามารถทนต่อความผันผวนของตลาดหุ้นได้ เป็นอย่างดี 
2.มีเวลาเพียงพอ นักลงทุนควรมีเวลาในการติดตามและวิเคาระห์บริษัทที่ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าเป็นผลการดำเนินงาน ข่าวของบริษัท หรืออนาคตของบริษัทเหมือนกับที่คาดการณ์ไว้หรือไม่
3.หาความรู้ก่อนเสมอ อย่าลืมว่าการทำเงินในระยะสั้นนั้นไม่ยากอะไรนัก แต่การทำผลตอบแทนให้้ดีอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นสิ่งที่ยากกว่า และการทำเช่นนั้นได้จำเป็นต้องมี”ความรู้”
--------------------------------------------------------------------------
เงิน ลงทุน (Capital Expenditures) เงินทุนส่วนนี้บริษัทจะวางแผนนำไปลงทุนในสินทรัพย์ระยะยาว เช่น ซื้อเครื่องจักรขยายโรงงาน ซื้อกิจการ ฉะนั้นเงินลงทุนส่วนนี้อาจมีจำนวนที่สูงและมีต่อเนื่องหลายๆ ปี เงินทุนส่วนนี้ส่วนมากผู้บริหารมักจะประกาศว่าจะลงทุนในอะไรบ้างใช้เงินทุน ประมาณเท่าไร หรือเราหาได้จากการหาการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์คงที่ในแต่ละปี หรือเอาให้แน่ๆ เลยคือถามผู้บริหารเลยว่ามีแผนลงทุนอย่างไร ใช้เงินเท่าไร ผลตอบแทนที่คาดไว้เท่าไร


เงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) เงินทุนส่วนนี้บริษัทต้องเตรียมเงินสดสำรองไว้ใช้จ่ายภายในบริษัทอยู่ทุก เมื่อเชื่อวัน เงินทุนส่วนนี้จะถูกนำไปใช้จ่ายในจำพวก จ่ายหนี้การค้า สำรองสินค้าคงเหลือ สำรองจ่ายให้ลูกค้า(ให้เครดิตลูกค้า) เงินทุนส่วนนี้หาได้โดยการ เอาสินทรัพย์หมุนเวียน หักด้วยหนี้สินหมุนเวียน


การ เติบโตที่ทำให้บริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นนั้น นักลงทุนจำเป็นต้องเข้าใจพื้นฐานของกิจการนั้นๆอย่างดีจนสามารถที่จะประเมิน ได้ว่าการลงทุนที่ผู้บริหารเลือกที่จะลงทุนนั้นสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้ แก่กิจการได้ กล่าวคือ โครงการลงทุนนั้นๆ จะต้องสร้างกระแสเงินสดได้มากกว่าเงินที่บริษัทได้ลงทุนไป ถ้ากระแสเงินสดที่กิจการจะได้รับนั้นไม่คุ้มค่าก็เท่ากับเป็นการลงทุนที่ ทำลายมูลค่า


เงินทุนนั้นมีต้นทุน ถึงแม้บริษัทจะไม่ได้กู้ยืมเงินใครมา บริษัทก็มีต้นทุนอยู่ดี ต้นทุนดังกล่าวคือ ต้นทุนค่าเสียโอกาส อธิบายง่ายๆ คือ ถ้าไม่เอาเงินไปลงทุนในโครงการนี้เอาเงินไปลงทุนในเงินฝากก็ได้รับผลตอบแทน เป็นดอกเบี้ย ค่าเสียโอกาสนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคนแต่ละบริษัท


ต้นทุนของเงินกู้นั้นเราใช้ดอกเบี้ยที่บริษัทต้องไปกู้ยืมมาลงทุน มากน้อยขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจในเวลานั้น


ต้นทุนของส่วนผู้ถือหุ้นนั้นก็มีต้นทุน เพราะนักลงทุนก็คาดหวังที่จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนและเอาเข้าจริงๆ ก็น่าจะสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยธนาคารเสียด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นเอาเงินไปฝากธนาคารดีกว่าจริงไหม


 คาดหวังนี้แสดงผ่านค่า PE Ratioเ พราะนักลงทุนคาดหวังสูงจึงให้ PE สูงๆ เพราะหวังว่ากำไรในอนาคตต้องเพิ่มสูงขึ้น อธิบายได้ว่าถ้าหากเราตัดสินใจลงทุนในหุ้นที่ PE 25 เท่า ราคาหุ้นเท่ากับ 25 บาท กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 1 บาท เมื่อเราซื้อแล้วราคาของเราจะคงที่ที่ 25 บาท แต่คาดหวังว่ากำไรจะต้องเพิ่มขึ้นเช่นหวังว่ากำไรควรจะเพิ่ม 20% ต่อปี PEในปีถัดไปสำหรับหุ้นที่เราลงทุนแล้วจะเปลี่ยนเป็น 20.8 และปีถัดไป PE จะเท่ากับ 17.4 เป็นต้น



สำหรับนักลงทุนเองมี หน้าที่ที่สำคัญคือ ต้องทำความเข้าใจในแผนการลงทุนของบริษัทว่าเหมาะสมหรือไม่ ต้องคิดให้ได้เองว่าโครงการลงทุนนี้จะสร้างมูลค่าที่น่าพอใจไหม มีเหตุผลและความเป็นไปได้ไหม ถูกที่ถูกเวลาไหม ไม่ใช่ไปลงทุนในจุดที่ไม่ได้ส่งเสริมเลย หรือไปลงทุนในช่วงเวลาที่ไม่ได้สนับสนุนให้ลงทุนเลย หรือที่หนักกว่านั้นไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ดูดีในระยะสั้น แล้วใช้เงินกู้มากๆ ซึ่งมีความเสี่ยงมาก
การลงทุนที่ดีคือการลงทุน ที่ใช้เงินทุนในจำนวนและต้นทุนเงินทุนที่เหมาะสม เป็นโครงการที่ส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงานที่กิจการมีความชำนาญ และมีเหตุให้เชื่อได้ว่าโครงการนั้นจะช่วยให้บริษัทสร้างผลกำไรเติบโตได้ เพิ่มขึ้นในระยะยาว

วัฎจักรธุรกิจ

การขึ้นลงของธุรกิจนำมาซึ่งการขึ้นลงของราคา หุ้นของบริษัท เพียงแต่ว่าการขึ้นลงของราคาหุ้นนั้นมักจะเกิดขึ้นก่อนการขึ้นหรือลงของ ธุรกิจ หากเราไม่เข้าใจธุรกิจเราก็จะช้ากว่าผู้อื่นที่เขาเข้าใจธุรกิจเป็นอย่างดี และนี่คือข้อได้เปรียบเสียเปรียบที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในการลงทุน 
         วัฎจักรของอุตสาหกรรมนั้นมีได้หลายแบบแต่ที่เราเห็นกันชัดๆคือ การลงแบบถาวรเนื่องจากการถูกแทนที่โดยสินค้าทดแทนชนิดอื่นอย่างเด็ดขาด เช่นการทดแทนเครื่องพิมพ์ดีดด้วยโปรแกรม Word processor การลงอย่างนี้ไม่มีวันกลับมาแน่นอน การลงเป็นรอบธุรกิจที่เกิดจากเหตุผลทางด้านเศรษฐศาสตร์คือการที่ผู้ผลิตเห็นว่าสินค้ามีราคาสูงซึ่งอาจจะเกิดจากความต้องการของตลาดเพิ่มขึ้นจากที่เคยมี ไม่มาก ทุกบริษัทเร่งขยายการผลิตทำให้สินค้าออกมามากกว่าความต้องการ จากนั้นก็แข่งขันกันด้วยการลดราคาเพื่อระบายสินค้า ในช่วงนี้ผู้ที่เข้มแข็งเท่านั้นจะอยู่รอดและรอเวลากลับมาอีกครั้งเมื่อผู้ที่อ่อนแอต้องเลิกราไปมื่อตลาดกลับสู่สภาพที่สมดุลบริษัทก็จะสามารถสร้างผลกำไรได้เป็นปกติ และเมื่อเกิดความต้องการที่สูงบริษัทที่แข็งแกร่งซึ่งอาศัยเวลาที่ผู้อื่น อ่อนแอเตรียมการไว้แล้วก็จะสามารถสร้างผลกำไรที่เป็นพิเศษได้ แต่ช่วงเวลานั้นจะไม่ค่อยยาวนาน ซึ่งเป็นเพราะทุกคนก็ชอบที่จะได้รับกำไรงามๆเช่นกันจึงขยายกำลังมาแข่งกัน อีกซึ่งก็จะกลับเข้าสู่รอบขาลงอีกครั้ง เป็นเช่นนี้เรื่อยไปเป็นกฎเกณฑ์ตามธรรมชาติ ที่ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ รุ่งเรื่อง(บางอย่างเท่านั้น) และดับไป
         สำหรับธุรกิจที่ขึ้น ลงเป็นรอบนั้นมีอยู่หลายประเภท ซึ่งฝรั่งเรียกว่า Commodity หรือสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิเช่น เหล็ก ปิโตรเคมี สินค้าเหล่านี้มักเป็นสินค้าที่สามารถหาได้ง่าย ใครๆก็ผลิตได้ ไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไรนัก การแข่งขันจึงเป็นแบบสมบูรณ์ ราคาสินค้าขึ้นลงตามความต้องการของตลาด
        การขึ้นลงของราคาหุ้นนั้นจะเกิดขึ้นก่อนการขึ้นลงของ รอบธุรกิจ อย่างน้อยๆก็ 3-6 เดือน ทั้งนี้เป็นเพราะมีผู้ที่รู้และเข้าใจธุรกิจได้เข้าสะสมหุ้น (ไม่เกี่ยวกับผู้ที่ใช้ข้อมูลภายใน) อย่างเงียบๆ และเมื่อมีผู้ที่รู้ข่าวตามมาทีหลังก็ตามเก็บหุ้นต่อๆกันมาจึงผลักดันราคา หุ้นสูงขึ้น ซึ่งบางคนยังไม่รู้เลยว่ามันขึ้นเพราะอะไร เพราะเห็นผลประกอบการยังไม่ได้ดีขึ้นเลย (ข้อนี้เป็นข้อเสียเปรียบของผู้ที่ยึดติดอยู่กับข้อมูลในอดีตที่แสดงในงบการ เงินแต่เพียงอย่างเดียว) ในรอบการลงก็เช่นกันผู้รู้ก็ขายก่อน ผู้รู้ทีหลังก็ขายตามมาผู้ที่ไม่รู้ก็จะเป็นผู้ถือหุ้นระยะยาวที่แท้จริง คือทำใจขายไม่ลงแล้ว

กองทุนรวมหุ้นระยะยาว” (LTF – Long Term Equity Fund )

กองทุนรวมหุ้นระยะยาวจึง เกิดขึ้น โดยอาศัยการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นสิ่งจูงใจให้ผู้มีรายได้นำ เงินมาลงทุนในตลาดหุ้นผ่านกองทุนรวม
ผู้มีเงินได้สามารถนำเงินลงทุน ในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวุไปหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15% ของรายได้พึงประเมินรายปี หรือไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี ผู้ซื้อหน่วยลงทุนสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปีได้ปีต่อปีเท่า นั้น และจำเป็นต้องถือกองทุนดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปีปฏิทินจึงสามารถไถ่ถ่อนได้โดยไม่เสียสิทธิทางภาษีที่ได้รับ
ตัวอย่าง เช่น
ผู้มีรายได้พึงประเมิน 800,000 บาท สามารถนำเงินลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวเพื่อการลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15% เท่ากับ 120,000 ถ้าฐานภาษีอยู่ที่ 20% จะได้ส่วนลดทางภาษี 120,000*20% = 24,000 บาท
ข้อดีของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF )
  • สามารถ นำไปลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปีได้ดังที่กล่าวมาข้างต้น โดยไม่ต้องนำเงินสมทบในกองทุนสำรองเลียงชีพหรือเงินสมทบในกบข. มาหักลดหย่อนก่อนคำนวณเหมือนกองทุน RMF
  • ขณะที่กองทุน RMF ไม่สามารถไถ่ถอนได้ก่อนกำหนดหรืออายุต้องไม่ต่ำกว่า 55 ปี เนื่องจากกองทุนรวม RMF ุเป็นการลงทุนระยะยาว ทางราชการจึงไม่อนุญาตให้ผู้ลงทุนไถ่ถอนเงินลงทุนได้ก่อนระยะเวลาที่กำหนด แต่สำหรับการลงทุนใน LTF ผู้ลงทุนสามารถไถ่ถอนได้เมื่อครบกำหนดเวลา 5 ปีปฏิทินเช่น ผู้ลงทุนซื้อกองทุน LTF ในเดือนธันวาคม 2548 เมื่อถึงเดือนมกราคม 2552 สามารถไถ่ถอนหน่วยลงทุนได้โดยไม่ต้องรอเกษียณอายุและ ไม่เสียสิทธิทางภาษีที่ได้รับแต่อย่างใด
  • ไม่จำเป็นต้องซื้อ หน่วยลงทุนทุกปี ผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องลงทุนในกองทุนนี้เป็นประจำทุกปีเหมือน

บริษัทที่น่าลงทุนนั้น ดูกันอย่างไร
           เป็นบริษัทที่ดีและมูลค่าสูงกว่าราคา ถ้าเป็นบริษัทที่ดีแต่ราคากับมูลค่านั้นใกล้เคียงกันก็จัดเป็นบริษัทที่ไม่ น่าลงทุน เพราะถ้าลงทุนไปแล้วผลตอบแทนที่ได้จะต่ำ หรืออาจจะไม่ได้รับผลตอบแทนเลยกับเป็นขาดทุนเสียด้วยซ้ำ การลงทุนที่ดีจะต้องคิดถึงส่วนที่เผื่อเอาไว้เพื่อความปลอดภัยในเวลาที่เรา คิดผิดเอาไว้ เรียกว่า Margin of safety
          บางบริษัทอาจจะไม่ได้เป็น กิจการที่ดีมากนักแต่ราคาต่ำมากๆ เราก็สามารถลงทุนได้ นิยมกันในกลุ่มบริษัทที่รายได้และกำไรขึ้นลงเป็นวัฎจักร เช่นกลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลาย
Value Model
1.ลงทุนเฉพาะกิจการที่เราเข้าใจ และจะไม่เดินออกนอกกรอบแห่งความได้เปรียบของเราเป็นอันขาด กรอบแห่งความได้เปรียบของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกันและก็กว้างไม่เท่ากัน  เราก็เอาความเข้าใจของเราในแต่ละอุตสาหกรรมมาเจาะลึกเพื่อสร้างกรอบ แห่งความได้เปรียบของเรา ในบางครั้งกรอบแห่งความได้เปรียบนี้อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินชีวิตประจำวัน บางที่พฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรามันก็เปลี่ยนแปลงไปแบบไม่รู้ตัว ก็ให้หัดสังเกตบ้างว่าคนรอบข้างเราเขาเป็นเหมือนเราหรือเปล่า เช่นเมื่อก่อนจะซื้ออะไรก็ร้านข้างๆบ้าน เดี๋ยวนี้ซื้อทีต้องไปห้างซื้อมากๆตุ่นเอาไว้ใช้ทั้งเดือน ง่ายๆแต่นี้แหละไม่ต้องไปค้นอะไรให้ยากมากเรื่องไป
2.ผู้บริหารจะต้องซื่อสัตย์และมีความสามารถ ติดตามดูพฤติกรรมของผู้บริหารกันบ้างว่ามีประวัติอย่างไร เคยทำอะไรไม่ดีเอาไว้ไหม ในวงการแล้วเขามีความสามารถมากแค่ไหน จริงๆแล้วตอนตรวจสอบงบการเงินนั้นเราก็อาจเห็นถึงพฤติกรรมนี้ได้ เช่นมีการลงบัญชีรายการแปลกๆ มีการโยกรายการไปบริษัทที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ข่าวสารจากกลต.(www.sec.or.th) ก็จะมีข้อมูลเอาไว้มากมาย
3. ผลิตสินค้าและบริการที่แข็งแกร่งหาใครมาแย่งชิงตลาดได้ยาก ตรงข้อนี้สำคัญมากๆ สินค้าและบริการทั่วๆไปมักจะแข่งขันกันด้วยกลยุทธ์ราคา ลดแลกแจกแถม หาได้ยากที่จะอยู่เฉยๆแต่ลูกค้าก็ยังยินดีจะซื้อ เป็นสินค้าและบริการที่ติดอยู่ในใจคนมาตลอด บอกชื่อสินค้าไปแล้วก็เกิดความรับรู้และเข้าถึงได้ทันที เป็นสินค้าและบริการที่แม้แต่เศรษฐกิจไม่ดีแต่ก็ยังขายได้ดี สามารถปรับราคาได้ตลอดโดยที่ลูกค้าไม่เปลี่ยนไปใช้ยี่ห้ออื่น
4. ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง บริษัทจะอยู่รอดได้นั้นฐานะทางการเงินต้องแข็งแกร่ง สินทรัพย์ที่มีจะต้องถูกใช้งานอย่างเต็มที่ เรียกว่าเป็นสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ หนี้สินไม่ควรจะมีมาก และที่สำคัญเงินกู้ระยะสั้นไม่ควรนำมาลงทุนระยะยาว ในส่วนนี้จำเป็นต้องศึกษาบัญชีเพื่อให้สามารถดูงบการเงินให้เป็น
5. เมื่อจะซื้อหุ้นเราต้องรู้มูลค่าที่แท้จริง และต้องมีส่วนต่างความปลอดภัย การประเมินมูลค่าที่แท้จริงนั้นมีหลายวิธี และได้เคยนำเสนอไปแล้วลองกลับไปค้นในฉบับเก่าๆดูนะครับ และเวลาซื้อต้องแน่ใจว่าราคานั้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากๆ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัย และผลตอบแทนที่น่าพอใจ
6.ไม่กระจายลงทุนในหุ้นหลายๆบริษัท ถ้าคุณจะลงทุนแบบเอาจริงเอาจังแล้วละก็ การลงทุนในหุ้นหลายๆบริษัทจะทำให้เราไม่สามารถเจาะลึกถึงข้อมูลสำคัญๆได้ อย่างเต็มที่เพราะการวิเคราะห์ข้อมูลบริษัทนั้นต้องอาศัยเวลาและความพยายาม มากเอาการ
7. คิดไว้เลยว่าจะต้องถือยาว บางครั้งกว่าชาวบ้านจะเห็นมูลค่าของบริษัทที่เราลงทุนก็กินเวลาเป็นปี และนี่ถือเป็นโอกาสอย่างหนึ่งว่ายิ่งนานยิ่งไม่มีใครเห็นค่ายิ่งเป็นโอกาส ให้เราลงทุนเพิ่มในบริษัทนั้นได้อีกนานๆกว่าจะมีคนมาแย่งซื้อ
8.ขายเมื่อวิเคราะห์ผิด เมื่อรู้ตัวว่าผิดต้องรีบขายไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
9.ขายเมื่อบริษัทนั้นไม่อยู่ในกฎเกณฑ์Value Modelอีกต่อไป ซื้อเพราะอะไรก็ขายเพราะมันเปลี่ยนไปจากตอนที่เราซื้อแล้ว
10. ขายเมื่อมีโอกาสการลงทุนอื่นที่ดีกว่า เมื่อประเมินแล้วหุ้นบริษัทอื่นมีส่วนต่างความปลอดภันสูงกว่า และให้ผลตอบแทนสูงกว่า ก็ถึงเวลาเปลี่ยนการลงทุนใหม่ แต่ต้องแน่ใจว่าดีกว่าแน่ๆโดยใช้ผลตอบแทนที่มีอยู่เปรียบเทียบกับผลตอบแทน ใหม่
------------------------------------------------------
สำหรับบริษัทที่มี ความแข่งแกร่งจริงนั้นตลาดขึ้นหุ้นของบริษัทเหล่านี้ช้าเร็วก็ต้องขึ้น และเวลาตลาดลงหรือซบเซาหุ้นของบริษัทเหล่านี้จะมั่นคง ทั้งนี้เป็นเพราะบริษัทนั้นมีความสามารถในการแข่งขั้นในระยะยาว สามารถแข่งขันทำกำไรได้ในระดับสูงตลอดเวลา ฉะนั้นบริษัทดังกล่าวนี้จึงเป็นบริษัทที่เป็นเป้าหมายในการลงทุนในทุกช่วง เวลาและทุกโอกาส
1.ผลิตสินค้าและ บริการสู่ตลาดเป้าหมายที่ชัดเจน
2.กำหนดตำแหน่งทาง กลยุทธ์ได้ชัดเจน
3.กำหนดกิจกรรมดำเนินงานได้เหมาะสมกับตำแน่งเชิงกลยุทธ์
4. มีการบริหารต้น ทุนได้เป็นอย่างดี
5.จบด้วยธรรมาภิบาล
------------------------------------------------------
วิธีสังเกตว่าบริษัทไหนซ่อนตัวงำประกายให้แฟนๆได้ใช้เป็น เครื่องมือเตรียมรับกับเทศกาลลด
กระหน่ำ 
ดูในรายงานผู้สอบบัญชีเสียก่อนว่า ผู้สอบบัญชีได้เตือนอะไรไว้บ้าง ให้สังเกตอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ ถ้ามีให้ตรวจสอบจากหมายเหตุประกอบงบให้ดีเสียก่อน
1.ดูที่บัญชีลูกหนี้การค้า ไปดูในหมายเหตุก่อนว่า มีหนี้ค้างนานๆมากไหม 
2.ตั้งสำรองไว้เพียงพอหรือไม่ ถ้าดีแล้วก็ไปดูที่
3.รายได้ในงบกำไรขาดทุน
4.เมื่อบริษัทขายสินค้าไปแล้วเมื่อไรจึงจะเก็บเงินได้ หรือ เมื่อไรลูกหนี้การค้าที่ขายเป็นเครดิตจะกลายเป็นเงินสด
        อัตราส่วนหมุนเวียนลูกหนี้การค้า = รายได้ / ลูกหนี้การค้า
        ระยะเวลาที่เก็บเงินได้ = 365 วัน / อัตรา ส่วนหมุนเวียนลูกหนี้การค้า
ตัวอย่าง คือ
ระยะเวลาที่เก็บ สินค้าคงเหลือจนเป็นรายได้ = 1,052,777,691.81 /     367,287,448.33 = 2.87เท่า
ระยะ เวลาที่เก็บเงินได้ = 365 วัน /2.87 = 127 วัน หรือ 4 เดือน
จาก นั้นมาดูบัญชีสินค้าคงเหลือ ดูว่าบริษัทนี้ต้องเก็บสินค้าไว้นานแค่ไหนถึงจะขายเป็นยอดขายได้ โดยเอาบัญชีสินค้าคงเหลือตั้งหารด้วยต้นทุนสินค้าขาย จะได้อัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงเหลือดังนี้
อัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ = ต้นทุน สินค้าขาย / สินค้าคงเหลือระยะเวลาที่เก็บสินค้าคงเหลือจนเป็นรายได้ = 365 วัน / อัตรา ส่วนหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ
ตัวอย่างคือ
อัตราส่วนหมุน เวียนสินค้าคงเหลือ= 764,676,504.61 /432,076,514.70 = 1.77เท่า
ระยะเวลาที่เก็บสินค้าคงเหลือจนเป็นรายได้ = 365 วัน /1.77 = 206 วัน หรือ 7 เดือน
สรุป เป็นว่า บริษัทนี้เป็นบริษัทซื้อมาปรับปรุงสินค้าแล้วขายไป ซื้อสินค้ามาเป็นเงินสด เก็บสินค้าก่อนขายเฉลี่ย 7เดือน ขายแล้วกว่าจะเก็บเงินได้ปาเข้าไปเกือบปี บริษัทนี้ มีกำไรสุทธิประมาณ 11.33% นับว่าพอสมควร แต่เมื่อมาดูงบกระงบเงินสดกลับเห็นว่าเงินสดไม่ค่อยจะพอใช้ ต้องกู้สั้นกู้ยาวมาชดเชยกันให้วุ่นไปหมด ถ้าวันใดวันหนึ่งเกิดอาการสะดุดขึ้นมา เช่นยอดขาดลดลง เก็บเงินลูกค้าได้ยากขึ้น บริษัทนี้จะเสี่ยงเอาการ
อีกตัวอย่างนึง
บริษัท อีกประเภทหนึ่ง บริษัทกลุ่มนี้จะซื้อมาขายไปเหมือนกัน แต่ซื้อเงินเชื่อขายเงินสด เน้นขายเร็ว อัตราส่วนหมุนเวียนลูกหนี้การค้าน้อยมาก แต่อัตราส่วนหมุนเวียนสินค้าคงเหลือสูงเช่น 3 เท่าขึ้นไป พอหาระยะเวลาที่เก็บสินค้าคงเหลือจนเป็นรายได้ออกมาจะได้ประมา95วัน หรือประมาณ 3 เดือน แต่อัตรากำไรสุทธิประมาณ 3-4% แต่อาศัยขายมาก ขายไว แต่ธุรกิจนี้จะมีเกระแสเงินสดเหลือสูงมากเพราะถ้าเราหาอัตราส่วนหมุนเวียน เจ้าหนี้การค้า เพื่อหาระยะเวลาจ่ายหนี้ดังนี้
อัตราส่วนหมุนเวียนเจ้าหนี้การค้า = เจ้าหนี้ การค้า / สินค้าคงเหลือ
อัตราส่วนหมุนเวียนเจ้าหนี้การค้า = 20,532,538 / 6,755,808 = 3.04 เท่า
ระยะ เวลาจ่ายเจ้าหนี้การค้า = 365/3.04 = 120 วัน หรือ 4 เดือน
ถ้าให้เลือก ผมเลือกบริษัทกลุ่มหลังมากกว่า ซื้อเงินเชื่อจ่าย 120วัน ขายได้เป็นเงินสดภายใน95วัน ทำให้มีเงินมาหมุนเวียนฟรีๆ 25วัน และยิ่งขายมากยิ่งมีเงินสดจากผู้ขายวัตถุดิบมาหมุนเวียนใช้มากขึ้นต่อเนื่อง ขึ้น
5.
6.


1.ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ การลงทุนแบบเน้นคุณค่าให้ความสำคัญกับ”ปัจจัยพื้นฐาน”ของบริษัทที่ลงทุน มากกว่าราคาหุ้น รวมทั้งพื้นฐานของบริษัทไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเหมือนราคาหุ้น ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องติดตามราคาอย่างใกล้ชิดเท่ากับการเก็งกำไร ลดเวลาการเฝ้าหน้าจอเพื่อดูราคาหุ้นไปได้มากทีเดียว
2.ไม่ต้องซื้อขายบ่อย ลงทุุนแบบเน้นคุณค่านั้นมีระยะเวลาในการถือครองหุ้นนานขึ้น รวมทั้งไม่มีความจำเป็นต้องเทรดหุ้นบ่อยๆ ทำให้มีเวลาให้ความสำคัญกับงานประจำมากยิ่งขึ้น
3.ไม่ต้องวิตกกังวล   สำหรับการลงทุนแบบเน้นคุณค่าแล้วในกรณีเช่นที่กล่าวมาแล้วนี้ มีโอกาสเกิดขึ้นได้ไม่มากนัก เพราะราคาหุ้นระยะสั้นไม่ได้มีผลทำให้ต้องตัดสินใจขายหุ้นออกไปอย่างรวดเร็ว หรือในทางกลับกัน การที่หุ้นมีราคาลดลงอาจจะเป็นโอกาสดีที่จะได้ซื้อหุ้นพื้นฐานดีในราคาที่ ถูกลงก็เป็นไปได้ ดังนั้นนักลงทุนจึงไม่มีความวิตกกังวลกับราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง เท่าใดนัก ทำให้การทำงานประจำมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับมือใหม่แล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำมิใช่การเดินไปเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ แต่สิ่งที่ควรจะทำคือนั่งคิดเสียก่อนว่า ที่จะมาลงทุน(เล่น)หุ้นกันนี่เพราะเราต้องการอะไร เมื่อคิดได้แล้วต่อไปก็ไปเปิดบัญชีได้ แต่เดี๋ยวก่อน! ยังไม่ต้องซื้อหุ้นใดๆทั้งสิ้นไม่ว่าจะมีเสียงหวานๆแนะนำหุ้นเด็ดๆมาให้เป็น อันขาด บริษัทที่คุณ ควรจะสนใจนั้นควรจะเป็นบริษัทที่คุณคุ้นเคย มีโอกาสได้ใช้บริการแล้วเกิดอาการหลงใหลมีโอกาสต้องไปใช้บริการซ้ำอีก และอีก กินแล้วก็กินได้อีก ใช้แล้วก็ต้องซื้อใหม่อีก และเพื่อนๆของคุณก็เป็นเหมือนๆกับคุณ คือใช้สินค้าและบริการก็ติดใจ และที่ต้องดูอีกว่าคุณเข้าใจสินค้าและบริการนั้นๆไหม ไม่ใช่ชอบใช้แต่ไม่เข้าใจว่าเขาดำเนินธุรกิจกันอย่างไร ถ้าเป็นอย่างนั้นมีสองทางคือ ศึกษาให้รู้เสียก่อน หรือถ้าเกินแก่ความสามารถก็ขอให้ถอยไปก่อน ตัวอย่างง่ายๆที่อยากจะยกให้ เห็นคือร้านซูปเปอร์สโตร์ เมื่อก่อนเราซื้อของกันที่ร้านเล็กๆแถวบ้าน ซื้อสบู่ ผงสักฟอกกันที่ละชิ้น สังเกตุบ้างไหมว่าเดี๋ยวนี้เราซื้อยกห่อ และเราก็ซื้อกันทีละมากๆ วิถีชีวิตของเราเปลี่ยนไปแบบที่เราเองก็ไม่รู้ตัว และธุรกิจเหล่านี้ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ลองมาดูเครื่องดื่มที่เราก็มักจะเรียกติดปากกันแม้มันจะมียี่ห้อใหญ่ๆสอง ยี่ห้อ แต่เราก็ติดปากแค่ยี่ห้อเดียว ขายกันมาเป็นสิบๆปีทุกวันนี้ก็ยังขายได้ขายดีอยู่ อาหารสำเร็จรูป ขนมปัง โรงแรม โรงพยาบาล โรงหนัง ฯลฯ เพียงแต่เราต้องศึกษาว่าบริษัทไหนเป็นผู้นำและขายดีที่สุด คู่แข่งไม่สามารถเอาชนะได้ง่าย นั่นแหละสิ่งที่เราต้องการ 
          สิ่งต่อไป ก็ยังไม่ใช่การซื้อหุ้นอยู่ดีแหละครับ เราต้องแน่ใจว่าบริษัทที่เราคัดผ่านรอบแรกมาแล้วนั้นไม่ใช่หุ้นผีดิบ ไม่มีเลือดเนื้อ หุ้นผีดิบนั้นจะเป็นหุ้นที่อาศัยศาสตร์ลึกลับทำให้มันลุกขึ้นมาวิ่งลากฝูง แมงเม่าขึ้นดอยได้อย่างสบาย สิ่งที่เรากำลังค้นหาคือหุ้นที่มีเลือดเนื้อ สดใสเหมือนสาวแรกรุ่น ตรงนี้เราต้องใช้วิชาจีบสาวกันหน่อย คล้ายๆกับการเข้าไปพูดคุยให้ได้ ตีสนิทและไปเยี่ยมๆพ่อแม่ที่บ้านเสียหน่อย ไปดูฐานะทางการเงินว่ามั่นคงไหม เผื่อว่าเราจะได้ตกถังข้าวสารสบายไป สำหรับบริษัทนั้นเราต้องดูที่งบการเงิน และต้องดูย้อนหลังไปหลายๆปี เพราะเวลาแต่งงบการเงินหรอกแมงเม่าเขาจะแต่งกันไม่กี่ปี แต่ถ้านานๆแล้วมักปิดไม่มิดหรอกถ้าไม่หลงจนเกินไปเราควรต้องเห็น ส่วนนี้เราต้องเรียนรู้เรื่องบัญชีกันพอให้รู้บ้าง 
         ต่อไปก่อนซื้อหุ้นก็ต้องดูกันก่อน ว่า เราจะต้องจ่ายเท่าไร และเราจะได้ผลตอบแทนเท่าไร ซื้อหุ้นมันต้องได้กำไรตั้งแต่ตอนซื้อเลยทีเดียว ผมเชื่อว่าหลายท่านเวลาจะแต่งงานนั้นไตร่ตรองมากอยู่ว่าแต่งดีหรือเปล่า แต่งแล้วจะมีความสุขไหม คู่ของเราจะช่วยให้เราและครอบครัวเจริญรุ่งเรื่องหรือเปล่า ไม่ใช่มาช่วยกันใช้เงินก็เสร็จกัน ที่ผมบอกนี้ผมกำลังบอกว่าตอนเราซื้อหุ้นนั้นให้หาหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า หรือหุ้นที่ราคาถูกเมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไรที่เป็นเงินสด กำไรเทียมๆไม่เอา คล้ายกับคุณซื้อของมูลค่าสูงในราคาถูกๆ ขายออกก็กำไรทันที ถ้าเราเจอหุ้นเหล่านี้ผมรับรองว่าเราจะไม่ขาดทุนแน่นอน
------------------------------------------------------------------------------------------

สิ่งที่ต้องรู้ 10 ประการก่อนการลงทุน

1.หุ้นไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียว เมื่อคุณซื้อหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง คุณจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้น ซึ่งบริษัทนั้นจะมีผู้ถือหุ้นคนอื่นๆมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของด้วย ดังนั้นหุ้นหนึ่งหุ้นก็จะมีส่วนได้เสียในสินทรัพย์และผลกำไรของบริษัทนั้นๆ
2.หุ้นมีหลายแบบ การจะจำแนกหุ้นในตลาดออกนั้นโดยปกติจะจำแนกโดยขนาดของบริษัท(โดยวัดจากขนาด มูลค่าตลาดของหุ้นบริษัทนั้นๆ) อุตสาหกรรม รูปแบบการเติบโตของหุ้น เป็นต้นว่านักลงทุนมักจะพูดถึงหุ้นขนาดใหญ่กับหุ้นขนาดเล็ก หุ้นพลังงานกับหุ้นบันเทิง หุ้นโตเร็วกับหุ้นมูลค่า เวลาเราซื้อหุ้นเราไม่ต้องไปสนใจเรื่องเหล่านี้มากนัก แต่เราต้องสนใจพื้นฐานโดยรวมว่าแข็งแกร่งเพียงพอหรือไม่ ตรงนี้สำคัญกว่ามากครับ
3. หุ้นจะเปลี่ยนแปลงไปตามผลประกอบการ ในระยะสั้น ราคาหุ้นจะขึ้นลงไปตามพฤติกรรมต่างๆของผู้เล่นในตลาด เช่นความกลัว ข่าวลือ ข่าวจริงเป็นต้น แต่ในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นไม่ว่าจะขึ้นจะลง หรือทรงตัวทั้งหมดจะเปลี่ยนแปลงไปตามผลประกอบการ ดังนั้นตั้งสติให้ดีครับว่าหุ้นที่เรามีอยู่นั้นปรับตัวด้วยเหตุผลใด และเป็นไปตามพื้นฐานผลประกอบการหรือไม่ ถ้าไม่เป็นโอกาสครับ
4.หุ้นเป็นการลงทุนที่ดีที่สุดในการได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองมา หุ้นที่มีขนาดใหญ่ๆมีผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 11% ต่อปี สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ และสูงกว่าผลตอบแทนจากพันธบัตร ที่ดินและการออมอื่นๆ ดังนั้นการลงทุนในหุ้นจึงเป็นทางที่ดีที่สุดในการออมเงินเพื่ออนาคต
5. หุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่งไม่ได้หมายถึงตลาดทั้งตลาด หุ้นที่ดีจะสามารถขึ้นได้แม้ว่าตลาดหุ้นจะลง ในขณะที่หุ้นแย่ก็ลงได้แม้ตลาดจะขึ้น
6. หุ้นที่มีผลดำเนินการดีมาโดยตลอดไม่ได้หมายความว่ามันจะมีผลดำเนินงานที่ดี ในอนาคต ราคาหุ้นจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการในอนาคต ดังนั้นหากหุ้นที่เคยมีประวัติที่ดีก็สามารถล่วงได้หากผลดำเนินงานในอนาคต แย่ลง ข้อนี้สำคัญมากครับ ต้องระวังเสมอ มีตัวอย่างให้เห็นโดยเฉพาะหุ้นพวกวัฎจักร
7. คุณไม่สามารถบอกว่าหุ้นถูกหรือแพงเพียงแค่ดูที่ราคาซื้อขายขณะนั้น เนื่องจากราคาหุ้นนั้นจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการ ดังนั้นหุ้นราคา 100 บาท อาจจะมีราคาถูกหากผลดำเนินงานดีต่อเนื่องในอนาคต ในขณะเดียวกันหุ้นราคา 2 บาทอาจจะแพงหากผลการดำเนินงานมีแนวโน้มไม่สดใส
8.นักลงทุนมักจะเปรียบเทียบราคาหุ้นกับองค์ประกอบอื่นๆเพื่อหามูลค่าหุ้น เพื่อที่จะรู้ว่าหุ้นสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าที่ควรเป็น นักลงทุนมักจะเปรียบเทียบราคาหุ้นกับยอดขาย กำไร กระแสเงินสด และเกณฑ์อื่นๆ การเปรียบเทียบความคาดหวังในผลดำเนินงานของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมใดๆก็ เป็นส่วนสำคัญ เช่นการดำเนินงานในอุตสาหกรรมที่โตช้าจะถูกคาดหวังต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่โต อย่างรวดเร็ว ซึ่งความคาดหวังในผลดำเนินงานนี้จะมีผลอย่างมากต่อราคาหุ้น
9. กลุ่มหลักทรัพย์ที่ดีมักจะมีหุ้นที่แข็งแกร่งของทุกๆกลุ่มอุตสาหกรรมรวมอยู่ โดยทั่วไปแล้ว พอร์ตที่ดีมักจะประกอบไปด้วยหุ้นในหลายอุตสาหกรรม ทั้งนี้เพราะว่าหากมีบริษัทใดเกิดราคาลงก็ยังมีหุ้นอีกหลายตัวช่วยพยุงไว้ ทำให้ไม่เสียหายมาก หรือยังมีผลตอบแทนที่ดีอยู่
10. การลงทุนที่ฉลาดคือการที่ซื้อหุ้นดีๆและถือไว้ให้ยาวที่สุดมากกว่าการซื้อ ขายรายวัน ต้นทุนในการซื้อขายจะลดลงอย่างมากหากเราซื้อและถือ จะขายก็เมื่อจำเป็นเช่นเห็นโอกาสอื่นที่ดีกว่า ตัวที่จะวัดว่าโอกาสอื่นดีกว่าหรือไม่ก็คือผลตอบแทนจากหุ้นเดิมที่เราลง ทุนอยู่นั่นเอง เวลาจะขายหุ้นเพื่อเปลี่ยนบริษัทต้องดูให้แน่ใจว่าดีกว่าเดิมหรือไม่