วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

1.“รู้ว่าอะไรสำคัญและอะไรไม่สำคัญ
2.ถ้าคุณจะกระโดดลงคลอง  ก็ขอให้แน่ใจว่าคุณรู้ว่าน้ำนั้นลึกเท่าไร
3.มีระบบความเชื่อของตนเอง    มีความมั่นคงและยึดมั่นในสิ่งที่ทำ”  และ  มีศรัทธาต่อสิ่งนั้น”  นี่คือกฎที่จะทำให้เราไม่วอกแวก  และความคิดและการกระทำของเราจะเป็นระบบที่ถูกต้องและสอดคล้องกันในระยะยาว  ระบบความเชื่อของเรานั้นจะต้องเป็นระบบที่ถูกต้องที่มีการพิสูจน์มาช้านาน  ตัวอย่างเช่น  ถ้าเรามีความเชื่อว่าการลงทุนในหุ้นนั้น  ก็คือการเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของธุรกิจ วิธีที่จะชนะในระยะยาวก็คือ  การถือหุ้นหรือบริษัทที่ดีเยี่ยมในราคาที่ยุติธรรมให้ยาวที่สุด  เราก็จะต้องเชื่อและทำแบบนั้น  อย่ากลับไปกลับมาโดยการขายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดสถานการณ์บางอย่างที่เราอาจจะกลัวเกินเหตุหรือคิดว่าราคาหุ้นอาจจะสูงเกินไปแล้วชั่วคราว
4.อยู่ข้างเทพ  อย่าอยู่ข้างมาร
การลงทุน  เราควรเลือกบริษัทที่อยู่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่อยู่ในช่วงของการเติบโต  เป็นธุรกิจที่กำลังมี  กระแส  หรือมี  ลมพัดมาทางข้างหลัง  เป็นอุตสาหกรรม เทพ  นอกจากนั้น  เราควรเลือกบริษัทที่กำลังเป็น ผู้ชนะ  เป็นบริษัท เทพ   วิธีที่เราจะเลือกได้ถูกต้องนั้น  นอกจากการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง  ซึ่งบ่อยครั้งจะต้องมองไปถึง  กระแสระดับโลก  ที่อาจจะมาก่อนแล้ว    เรายังต้องพยายามตัดอคติและความรู้สึกส่วนตัวที่มีออกให้มากที่สุด  เพราะนั่นมักทำให้เรามีความลำเอียงจนทำให้วิเคราะห์ผิดไปได้
5.คุณจะไม่มีวันเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้
6.รักษาคุณธรรมและจริยธรรมให้สูงเข้าไว้


การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม

การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว
1.การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
2.พฤติกรรมของคน
3.ลักษณะหรือคุณสมบัติของกิจการที่มีความอ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อมหรือภาวะเศรษฐกิจสูง

อุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็วที่สุด
1.อุตสาหกรรมไฮเทคทั้งหลาย
คอมพิวเตอร์
อินเตอร์เน็ต
การสื่อสารโทรคมนาคม
2.ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่ทำเพื่อขาย
บริษัทขายบ้านจัดสรร  เหตุผลก็คือ  นี่คือธุรกิจที่ต้องนับหนึ่งใหม่ ทุกปีเพราะลูกค้าเดิมไม่ซื้อซ้ำ
3.ธุรกิจการเงิน
(บางทีอาจจะเกิดขึ้นจากการขยายตัวภายในหรืออาจจะมีการควบรวมกับรายอื่นทำให้สถานะและความสามารถในการแข่งขันเปลี่ยนแปลงไปในเวลาไม่นานนัก)
4.ธุรกิจไอที  สื่อสาร  บันเทิง  สื่อ  และ สิ่งพิมพ์  

ถ้าจะลงทุน ต้อง ขอส่วนลด  หรือให้ค่า PE ของหุ้นต่ำกว่าหุ้นของบริษัทที่มีสถานะใกล้เคียงกันแต่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มั่นคง” กว่า
-------------------------------------
อุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงช้ามาก
อุตสาหกรรมอาหาร
   (โค๊กก็ยังยิ่งใหญ่เหมือนเดิม)
   (แม็คโดนัลด์เองก็เป็นอาหารที่ยิ่งใหญ่พอ ๆ  กันและนับวันมันจะขยายไปทั่วโลกโดยที่ยังหาคนที่มาต่อกรได้ยาก )
ธุรกิจค้าปลีกประเภทขายสินค้าราคาถูก
วอลมาร์ท  คาร์ฟู และ เทสโก้ เหล่านี้ต่างก็เป็นผู้นำในตลาดของประเทศตนเองและตลาดโลกมาช้านานโดยที่ไม่มีความเสี่ยงที่จะมีคู่แข่งมาทำลายตำแหน่งของตนเองได้

สองอุตสาหกรรมต่างก็เป็นธุรกิจ โลว์เทค”  ที่มีการใช้เทคโนโลยีน้อยมาก
พลังงาน

--------------------------------------
PE สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตประมาณ 30-40% 
1.VI พันธุ์แท้
ไม่สนใจตลาด
พบว่ามีหุ้นที่ยังมีราคาถูกกว่ามูลค่าพื้นฐานมาก  มี  Margin Of Safety หรือส่วนต่างของความปลอดภัยสูง  เราก็จะซื้อ
PE ต่ำ +  PB ต่ำด้วย   แต่ ถดถอยลงเนื่องจากปัจจัยทางด้านคุณภาพ
อยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังตกต่ำล
หุ้นวัฏจักรที่กำลังเข้าสู่วัฎจักรขาลง 


ยามที่ตลาดหุ้นบูม  
เราจะต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษว่า  หุ้นที่เราเห็นว่ามีราคาถูกโดยดูจากตัวเลขเช่น  ค่า PE  นั้น  อาจจะเป็น  กับดัก  ที่ทำให้เรา ติด ได้   เหนือสิ่งอื่นใด  เราต้องคิดว่า  ถ้ามันหาง่ายอย่างนั้น  คนก็คงจะเจอแล้วก็ซื้อมันและทำให้ราคามันขึ้นไปก่อนหน้านี้แล้ว  คงไม่ปล่อยให้มันมี PE ต่ำมากอยู่อย่างนั้นโดยเฉพาะในยามที่มี  “VI”  อยู่เต็มตลาดหุ้น


ยามที่หุ้นในตลาดปรับตัวขึ้นมาก  เราควรจะ  Switch  หรือเปลี่ยนตัวหุ้น  จากหุ้นที่เราได้กำไรมากหรือหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นไปมากและราคาหุ้นเริ่มแพงแล้ว แล้วเอาเงินไปซื้อหุ้นที่ยังเป็น  “Laggard”  หรือหุ้นที่ยังไม่ค่อยได้ขึ้นไปเท่าไรและราคาอาจจะยังถูกเมื่อเทียบกับหุ้นอื่น ๆ  ในตลาด  แนวความคิดนี้อาจจะดูเหมือนว่าไม่ใช่แนว VI เพราะอาจจะไม่ได้วิเคราะห์ว่าหุ้นนั้นมี  Margin Of Safety มากน้อยแค่ไหน  แต่ไปดูจากการเปรียบเทียบว่าหุ้นตัวไหนราคาถูกกว่าอีกตัวหนึ่งแทนที่จะดูว่าตัวมันเองคุ้มค่าหรือไม่กับพื้นฐานของมัน   อย่างไรก็ตาม  VI  ที่มองในแนวนี้ก็อาจจะบอกว่า  หุ้นตัวใหม่ที่เขาจะซื้อนั้น  จะต้องเข้าข่ายว่าเป็นหุ้น “VI” ด้วย  นั่นก็คือ  เขาอาจจะกำลังบอกว่า  เขา  Switch จากหุ้น  VI ที่แพง  ไปสู่หุ้น  VI ที่ถูกกว่า  มี  Margin Of Safety  สูงกว่า


การ Switch หุ้นในยามที่ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นและหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นตามดัชนีตลาดนั้น  อาจจะไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีนัก  เหตุผลก็คือ  ในยามที่ตลาดหุ้นคึกคัก  หุ้นที่จะ  ถูกละเลย นั้นน่าจะมีน้อย  การที่หุ้นตัวหนึ่งวิ่งได้ดีหรือมากกว่าหุ้นอีกตัวหนึ่งนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าหุ้นตัวแรกมีพื้นฐานหรือคุณสมบัติดีกว่าหุ้นตัวที่สอง  การวิเคราะห์เดิมของเราอาจจะผิดพลาด   ที่สำคัญ  มูลค่าของหุ้นตัวแรกอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปในขณะที่หุ้นตัวที่สองนั้นมูลค่าของกิจการไม่ได้เพิ่มขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด  การ Switch นั้นอาจจะมีโอกาส ชนะ  ไม่มากและอาจจะไม่คุ้มกับค่าคอมมิชชั่นและส่วนต่างราคาซื้อขายที่เราจะต้องเสีย  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  มันอาจจะทำให้เราต้องเสียหุ้นที่ดีและได้หุ้นที่เลวกว่ามาแทนในทำนอง  ขายหมูแล้วไปซื้อควายมา  อย่างที่พูดกันในหมู่ VI


ข้อดีที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือถ้าเกิดวิกฤติหรือตลาดหุ้นตกลงมารุนแรงและทำให้หุ้น VI  ที่เราสนใจมีราคาลดลงมาก  เราก็จะได้ซื้อหุ้นถูกและทำให้ผลตอบแทนในอนาคตสูงขึ้น  แต่เหตุการณ์นั้นจะมีโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหนเราก็ไม่รู้  หลายคนอาจจะบอกว่าเหตุการณ์ในยุโรปนั้นน่ากลัวมากน่าจะมีโอกาสสูงที่ยุโรปจะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจรุนแรงและนั่นน่าจะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดหุ้นไทยตกลงมารุนแรงได้  ประเด็นนี้ผมเองไม่อยากที่จะให้ความเห็น   แต่ประสบการณ์ก็คือ  วิกฤติมักจะเกิดขึ้นตอนที่ไม่มีใครคาดคิด


ทำอย่างไรในสถานการณ์หุ้นแพง  คำตอบก็คือ  ผมแทบจะไม่ทำอะไร  โดยเฉพาะในยามที่หุ้นยังไม่ได้เป็น  ฟองสบู่  ประเด็นต่อมาก็คือ  ผมทำอะไรกับเงินสดที่อาจจะได้มาจากปันผลหรือจากแหล่งอื่น  คำตอบก็คือ  ผมก็อาจจะถือเป็นเงินสดไว้  หรือไม่ก็ลงทุนในหุ้นที่มั่นคงมากในแง่ผลประกอบการที่ยังให้ผลตอบแทนปันผลพอสมควร  อาจจะ 4-5% เทียบกับเงินฝากที่ 1-2ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้ผมมักจะเรียกว่า  หุ้นพันธบัตร  ซึ่งหลายตัวเป็นผู้ให้บริการสาธารณูปโภคที่มีรายได้และกำไรค่อนข้างแน่นอนและมีการเติบโตบ้างแต่ราคาไม่แพงเท่าไรนัก 

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ธุรกิจที่ทำได้ง่าย
1.ทำธุรกิจเหมืองถ่านหิน 
2.อสังหาริมทรัพย์

การที่ธุรกิจจะทำได้ง่ายหรือทำได้ยาก
1.ธรรมชาติของอุตสาหกรรม
2.ตัวโครงสร้างและวงจรชีวิตของอุตสาหกรรมว่าในขณะนั้นเป็นอย่างไร  ในบางธุรกิจที่วงจรชีวิตยังเพิ่งจะเริ่มต้นไม่มีผู้นำหรือรายใหญ่ที่แท้จริง   การทำธุรกิจอาจจะง่าย  ผู้ที่เริ่มเข้ามาทำก่อนอาจจะทำได้ง่าย   แต่เมื่ออุตสาหกรรมเติบโตขึ้น  มีการแข่งขันที่รุนแรงและในที่สุดก็มี ผู้ชนะ ที่สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดมาได้มากพอและเหนือกว่าคู่แข่งลำดับต่อ ๆ  ไปมาก  การทำธุรกิจสำหรับรายใหม่ก็จะยากขึ้นและยากขึ้นเรื่อย ๆ 

ร้านสะดวกซื้อ  เป็นเรื่องที่ยาก  สาเหตุก็เพราะในขณะนี้เรามีผู้ให้บริการรายใหญ่มากที่เขาได้สร้างกิจการมาจนมีความได้เปรียบในด้านของต้นทุนและคุณภาพของบริการรวมถึงความได้เปรียบในด้านการตลาดมากซึ่งทำให้รายที่เข้ามาใหม่ที่ต้องเริ่มจากขนาดที่เล็กไม่สามารถแข่งขันได้  พูดง่าย ๆ  มันเป็นธุรกิจที่ทำยาก  ถ้าจะทำให้ได้กำไร  และนี่คือคำจำกัดความของ ธุรกิจที่ทำยาก



------------------------------------
 Megatrend ของโลก
ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวที่ต่อเนื่องยาวนานอย่างน้อย 10 ปี ขึ้นไป  และน่าจะต้องเป็นอย่างนั้นต่อไปอีกไม่น้อยกว่า 10 ปี

1st Megatrend 
1.เทคโนโลยีด้าน IT และการสื่อสารแบบเคลื่อนที่
2.ทคโนโลยีด้านชีวภาพหรือ  Biotech

2nd Megatrend 
1.Wealth 

3rd Megatrend 
1.โครงสร้างอายุของประชากรในโลกที่เริ่มแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว  อายุเฉลี่ยของประชากรโลกน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  เพราะเด็กเกิดใหม่มีอัตราลดลงในขณะที่คนก็มีอายุยืนขึ้น

4 th Megatrend 
1.การเพิ่มขึ้นของอิทธิพลของเอเซีย” คือแนวโน้มใหญ่ที่ประเทศในเอเซียมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับส่วนอื่นของโลก ประกอบกับการที่มีประชากรจำนวนมาก  ทำให้เอเชียมีบทบาทและความสำคัญสูงขึ้นอย่างมากในทุกด้าน  ทั้งทางด้าน  เศรษฐกิจ  สังคม  การเมือง และวัฒนธรรม  ผลต่อประเทศไทยก็คือ  เราจะมีการค้าและการลงทุนมากขึ้นเช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่จะมีมากขึ้นเนื่องจากไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของประเทศที่อยู่ในศูนย์กลางของเอเซีย

5th  Megatrend 
1.ภาวะโลกร้อน

6th Megatrend
1.Globalization  หรือโลกานุวัตร โลกแบน   ความหมายก็คือ  พรมแดนทางภูมิศาสตร์ของแต่ละประเทศและวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นจะมีความหมายน้อยลงเรื่อย ๆ   คนในแต่ละประเทศจะมีความคิด  ค่านิยม  และความเป็นอยู่คล้าย ๆ  กันขึ้นอยู่กับฐานะและความมั่งคั่งมากกว่าเรื่องของวัฒนธรรมประจำชาติ  นอกจากนั้น  แต่ละประเทศจะไม่สามารถทำอะไรตามใจตนเองได้ทั้งหมดแต่จะต้องทำในสิ่งที่เป็นที่ยอมรับของสังคมโลกด้วย  เช่นเดียวกัน  การแข่งขันทางธุรกิจก็จะต้องเปิดกว้างขึ้นเรื่อย ๆ  และต้องรวมไปถึงธุรกิจจากต่างประเทศทั่วโลก  ผลกระทบก็คือ  บริษัทที่มีความสามารถทางการแข่งขันสูงจะสามารถขยายตัวได้มากขึ้นมาก   ในขณะที่บริษัทระดับรองหรืออ่อนแอจะอยู่ได้ยากขึ้น
--------------------------------------------
ซุปเปอร์สต็อกนั้น   มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้บริหารมากนัก  แม้ว่าการที่บริษัทกลายเป็นซุปเปอร์สต็อกได้นั้น  ก็เพราะมีผู้บริหารที่ดีสุดยอด


ในช่วงที่บริษัทยังเล็ก และ/หรือ อ่อนด้อยอยู่  ฝีมือของผู้บริหารสูงสุดนั้นอาจจะมีความสำคัญชี้เป็นชี้ตายได้  แต่เมื่อบริษัทก้าวหน้ามาจนถึงจุดสุดยอดหนึ่งแล้ว  มันก็สามารถเดินได้ด้วยตนเอง  และความสามารถของผู้บริหารเองก็อาจจะไม่ได้สร้างความแตกต่างมากนัก


--------------------------------------------
ธุรกิจสื่อสารมวลชน 
การเกิดขึ้นของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง  กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ กสทช.
(การผูกขาด  ของสื่อที่มีมานานในประเทศไทยหมดหรือเกือบหมดไป )
ต้นทุนของการสื่อสารต่ำลงไปมากในขณะที่คุณภาพของภาพและเสียงกลับสูงขึ้นมาก
การแข่งขันที่จะ แย่งผู้ชม  จะรุนแรงมาก  โดยที่กลยุทธ์สำคัญที่สุดในการดึงดูดคนดูก็คือ  การใช้  Content หรือเนื้อหาหรือข้อมูลที่น่าสนใจสำหรับผู้เข้ามาชม


ขณะที่มีบริษัทและช่องทางใหม่ ๆ  เพิ่มขึ้นมากมายที่จะเข้ามาช่วงชิง  ตา  แต่จำนวน ตา  นั้น  กลับมีจำนวน  เท่าเดิม   ความหมายก็คือ  คนไทยนั้น  ไม่ได้มีจำนวนเพิ่มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นน้อยมาก  เวลาที่จะใช้ตาเพื่อที่จะ ดู  ก็ไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมากนัก


แต่ผู้ให้บริการกลับมีเพิ่มขึ้นซึ่งจะต้องมีต้นทุนเพิ่มขึ้นมาก   ผลก็คือ  ถ้ามองในแง่ของอุตสาหกรรมโดยรวมแล้ว  ก็น่าจะเป็นว่า  กำไรของอุตสาหกรรมจะลดลง  ถ้ามองในรายละเอียดต่อไปก็น่าจะเป็นว่า  ผู้เล่นที่มีอยู่เดิมที่อยู่ในสภาวะผูกขาดหรือกึ่งผูกขาด   น่าจะมีกำไรน้อยลงเพราะมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามา แย่ง  หรือแบ่ง  ลูกตา  หรือลูกค้าไปบ้าง  ส่วนรายใหม่ที่เข้ามานั้น  รายที่ประสบความสำเร็จสูงก็อาจจะได้กำไร  แต่หลายรายที่น่าจะมีจำนวนมากกว่าก็จะขาดทุน
 สิ่งที่รายใหญ่สามารถทำได้ก็คือ  การเพิ่มราคาค่าโฆษณา  ซึ่งทำให้กิจการสามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้นเป็นกอบเป็นกำเนื่องจากต้นทุนการผลิตและส่งรายการยังเท่าเดิม 
ประเด็นสำคัญก็คือ  สถานีจะต้องรักษาคุณภาพหรือ Content ของรายการให้สามารถดึงดูดมวลชนจำนวนมากให้ได้ต่อเนื่องยาวนาน   ในช่วงแรก ๆ  นั้นผมคิดว่าปัญหายังไม่มาก  แต่เมื่อเวลาผ่านไป  ผมเชื่อว่าผู้ชมก็จะค่อย ๆ  กระจายความสนใจในรายการหลากหลายขึ้นเรื่อย ๆ  เมื่อพวกเขาพบทางเลือกใหม่ ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น  ผลก็คือ  ผลประกอบการของทีวีช่องใหญ่ ๆ  น่าจะค่อย ๆ  ปรับตัวลดลงและอาจจะกลายเป็น  ตะวันตกดิน ได้


ทีวีช่องใหม่ ๆ  ที่กำลังเกิดขึ้นมากมายนั้น  จุดขายก็คือ  แย่งชิงผู้ชมที่มีความสนใจเฉพาะอย่าง  เช่น  ชิง  ตาของวัยรุ่น   เช่น  ทำสถานีเพลงที่โดดเด่น
แต่ไม่ว่าในกรณีใด  ความแน่นอนของผลประกอบก็อาจจะไม่สูงนัก  เหตุผลก็คือ  ธุรกิจนี้จะมีการแข่งขันสูงและมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก 


ตามรอยบัฟเฟตต์

1.ข้อแรก  การลงทุนของบัฟเฟตต์ก็ยังเกาะติดอยู่กับธุรกิจหลัก ๆ  ที่เขาทำมายาวนาน  นั่นก็คือ  เขาชอบลงทุนในกิจการที่มีการเปลี่ยนแปลงช้า ๆ  เป็นกิจการที่เทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่สามารถทำลายมันได้ง่าย ๆ ช่น  อาหารการกินซึ่งถึงยังไงคนก็ยังต้องกินและต้องการกินอาหารที่อร่อยมียี่ห้อระดับโลก ตัวอย่างของหุ้นก็เช่น  บริษัทคราฟท์ฟูด  กลุ่มต่อมาก็คือกลุ่มของใช้ประจำวันเช่นสบู่ ยาสีฟัน  แชมพูสระผม  และเครื่องประทินผิว  ที่ไม่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์อะไรนักยกเว้นการโฆษณาและการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง  ตัวอย่างของหุ้นก็เช่น  หุ้นของพร็อกเตอร์แอนด์แกมเบิลและหุ้นจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน  และกลุ่มสุดท้ายก็คือ  หุ้นของบริษัทค้าปลีกที่บัฟเฟตต์เพิ่งจะลงทุนไม่นานมากนักทั้ง ๆ  ที่มันน่าจะเป็นหุ้นที่อยู่ในเกณฑ์ที่เขาสนใจลงทุน  แต่เขาอาจจะเคยเกี่ยงว่ามันเป็นหุ้นที่  ไม่เคยถูก  ตัวอย่างเช่นหุ้นของวอลมาร์ท  เป็นต้น
2.หุ้นกลุ่มที่บัฟเฟตต์ลงทุนมากที่สุดกลุ่มหนึ่งตั้งแต่อดีตและก็ยังลงทุนอยู่เรื่อย ๆ เมื่อมีโอกาสก็คือ  หุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นของบริษัทประกันภัยและธนาคารพาณิชย์และบริษัทหลักทรัพย์   นี่คือหุ้นที่บัฟเฟตต์ลงทุนมาตลอดขณะที่ VI เมืองไทย  รวมถึงตัวผมเองไม่ใคร่สนใจลงทุนเลยทั้ง ๆ  ที่บางครั้งก็ดูเหมือนกับว่าเป็นหุ้นที่  ไม่แพง  และหลาย ๆ ครั้งอาจจะเป็นหุ้น  “VI”  ได้  ตัวอย่างหุ้นการเงินที่บัฟเฟตต์ลงทุนเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็เช่นหุ้นของแบงค์อเมริกาและบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำอีกหลายแห่งที่ประสบกับปัญหาทางการเงินอันเนื่องมาจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ทำให้ราคาหุ้นตกลงมาต่ำมาก  อย่างไรก็ตาม  หุ้นหรือตราสารการเงินเหล่านี้บัฟเฟตต์มักจะลงทุนในเวลาสั้น ๆ  อาจจะเพียง 2-3 ปีก็จะถอนออก  ยกเว้นหุ้นสถาบันการเงินที่เน้นรายย่อยหรือเน้นลูกค้ามากรายที่สามารถกระจายความเสี่ยงได้ดี  เช่นหุ้นประกันภัย หุ้นอเมริกันเอ็กเพรส และหุ้นแบงค์ที่บริหารได้ดีอย่างเวลฟาร์โก้เท่านั้นที่เขาจะถือหุ้นยาวนาน
3.หุ้นไฮเท็คนั้น  บัฟเฟตต์ยังคงหลีกเลี่ยงเป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตที่เขามองว่ามีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก  ดังนั้น  เขาก็ยังไม่ซื้อหุ้นทั้งแอปเปิล  กูเกิล ไมโครซอฟท์ หรือ  เฟซบุค  อย่างไรก็ตาม  เขาได้เข้าซื้อหุ้นของไอบีเอ็ม จำนวนมากเมื่อเร็ว ๆ  นี้  เหตุผลก็คือ  ไอบีเอ็มในตอนหลังได้ปรับตัวเองกลายเป็น  ผู้ให้บริการ  เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และการจัดการข้อมูลแก่บริษัทต่าง ๆ  เช่น ไอบีเอ็มจะเข้าไปทำหน้าที่คล้าย  ๆ   แผนกคอมพิวเตอร์และการจัดการข้อมูล” ของธนาคารต่าง ๆ  ทำให้ไอบีเอ็มมีรายได้ที่แน่นอน  ในขณะที่แบงค์ก็ประหยัดรายจ่ายที่ไม่ต้องทำระบบต่าง ๆ เช่นระบบสำรองและการดูแลให้คอมพิวเตอร์ให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลาเป็นต้น นอกจากนั้น  บัฟเฟตต์เองดูเหมือนว่าจะลงทุนในหุ้น ไฮเท็ค ประเภทที่เป็นผู้ผลิตที่เป็นผู้นำที่โดดเด่นที่คู่แข่งตามได้ยาก  ตัวอย่างเช่น  หุ้นอินเทล  หุ้นของบริษัทผลิตเครื่องมือของอิสราเอล  หุ้นบริษัทผลิตยาซาโนฟี  เหล่านี้เป็นต้น   อย่างไรก็ตาม  หุ้นไฮเท็คเหล่านี้  บัฟเฟตต์ซื้อในปริมาณไม่มากนัก
4.หุ้นกลุ่มที่บัฟเฟตต์ลงทุนค่อนข้างมากเมื่อเร็ว ๆ  นี้ก็คือ  หุ้นที่เกี่ยวกับพลังงานและการขนส่ง  นี่เป็นกลุ่มที่ในอดีตบัฟเฟตต์แทบไม่สนใจเลยเพราะภาพที่ออกมาดูเหมือนว่าจะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่บัฟเฟตต์ไม่ชอบ  หุ้นในกลุ่มนี้ที่บัฟเฟตต์ลงทุนไปมากที่สุดตัวหนึ่งก็คือ  หุ้นของบริษัทรถไฟในอเมริกาซึ่งบัฟเฟตต์มองว่าจะเริ่มได้เปรียบเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นมาก  นอกจากนี้ บัฟเฟตต์ได้เข้าไปซื้อหุ้นบริษัทน้ำมันหลายบริษัทรวมถึงปิโตรไชน่าของจีน  อย่างไรก็ตาม  ในกรณีที่เป็นโภคภัณฑ์ล้วน ๆ  เช่นน้ำมันนั้น  ก็ดูเหมือนว่าบัฟเฟตต์อาจจะเข้ามาซื้อขายแบบเก็งกำไรมากกว่าจะเป็นการถือยาว
5.หุ้น  ตะวันตกดิน  หรือหุ้นที่ดูเหมือนว่าจะไม่โตเท่าไรนักแต่บริษัทเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและมีเงินสดเหลือเฟือนั้น   ถ้าดูกันจริง ๆ  เป็นหุ้นที่บัฟเฟตต์ลงทุนอยู่เหมือนกันในอดีต  นี่อาจจะเรียกว่าหุ้นแนวก้นบุหรี่หรือแนวของเกรแฮม  บัฟเฟตต์ห่างเหินจากหุ้นแนวนี้มานาน  อาจจะตั้งแต่หุ้นเบอร์กไชร์และหุ้นประเภทขายรองเท้าหรือทำเฟอร์นิเจอร์  แต่ที่น่าแปลกก็คือ บัฟเฟตต์เองก็เพิ่งไปซื้อกิจการหนังสือพิมพ์ที่ดูเหมือนว่ากิจการกำลังตกลงมาอย่างช้า ๆ  แต่แน่นอน  เนื่องจากการเข้ามาของสื่อทางอินเตอร์เน็ตทั้งหลาย  เขาคงมองว่า  ยังไงซะ  Content หรือเนื้อหาที่เป็นข่าวสารก็ยังมีค่า  และถึงวันหนึ่ง  ผู้ผลิตข่าวสารก็อาจจะไม่ยอมให้คนอื่นเอาข่าวไปใช้แบบฟรี ๆ  ในอินเตอร์เน็ต
6.สิ่งที่เปลี่ยนไปค่อนข้างชัดเจนก็คือ  บัฟเฟตต์ซึ่งในอดีตไม่ใคร่สนใจลงทุนหุ้นในต่างประเทศเลยเพราะเขาอาจจะคิดว่าเขาสามารถเข้าถึงตลาดและลูกค้าต่างประเทศได้ผ่านการส่งออกของบริษัทที่เขาลงทุนในอเมริกา  บัดนี้  บัฟเฟตต์ได้ออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นและน่าจะมากขึ้นเรื่อย ๆ  เริ่มต้นจากจีนที่เขาได้เดินทางไปเยี่ยมเป็นประเทศแรก ๆ   ยุโรป  ต่อมาเข้าใจว่ามีเกาหลี  ไม่ต้องพูดถึงอิสราเอลที่เขาดูว่ามีบริษัทที่สุดยอดระดับโลกทางด้านไฮเท็คอยู่  เขาคงมองเห็นแล้วว่าโลกกำลังเปลี่ยนไป  อเมริกาอาจจะยังโดดเด่นอยู่   แต่ประเทศอื่น ๆ  อีกหลายประเทศโดยเฉพาะในเอเชียนั้นโตเร็วมาก
7.บัฟเฟตต์ยังคงรักษาคุณสมบัติของการเป็นนักลงทุนที่ผมอยากเรียกว่า  กล้าและเย็นที่สุดในโลก”  นั่นคือ  เขาพร้อมที่จะเข้าซื้อหุ้นหรือลงทุนในกิจการที่ยอดเยี่ยมในภาวะวิกฤติที่สุดที่ราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนัก  เขาเพิ่งเข้าไปซื้อหุ้นที่  ดีที่สุด  8-9 บริษัทในยุโรปในยามที่ยุโรปกำลังอยู่ในภาวะที่จะ  ตายหรือจะรอด  นี่ก็เหมือนกับช่วงที่เขาเข้าซื้อหุ้นจำนวนมากรวมถึงหุ้นสถาบันการเงินในอเมริกาในช่วงซับไพร์มที่ทำให้เขาได้กำไรมหาศาล


VI นั้น ผมคิดว่ามีประเด็นใหญ่ ๆ 3 เรื่องที่ต้องฝึกฝนเพื่อให้สำเร็จเป็น VI 
1.เรื่องของปรัชญาและหลักการสำคัญในการลงทุน
ลงทุนเฉพาะในสิ่งที่เขารู้จักดี หรือที่บัฟเฟตต์เรียกว่าลงทุนภายใน Circle Of Competence อะไรที่เราไม่รู้ เราไม่ควรลงทุน โดยนัยนี้ เราควรจะมีหุ้นที่เราจะลงทุนได้ไม่มากนักถ้าเราไม่ใช่ “มืออาชีพ” 


2.การฝึกฝนในด้านของจิตใจหรืออารมณ์เมื่อประสบกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่กระทบกับการลงทุน“สไตล์” - การลงทุนที่ตนเองยึดถือ การลงทุนแบบ “เล่นได้ทุกรูปแบบ” นั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากทีเดียว เพราะความชำนาญและการฝึกฝนของเรานั้นมีจำกัด ไม่เหมือน ปีเตอร์ ลินช์ ที่บริหารกองทุนขนาดมโหฬารและใช้เวลากับมันสูงมาก ดังนั้น สำหรับ VI ทั่วไปแล้ว เราควรจะเลือกหาสไตล์ที่มีโอกาสชนะสูงแล้วฝึกฝนและปฏิบัติจนเก่งและยึดถือมันเป็นหลักในการลงทุน


งฝึกฝนในด้านของการบริหารความเสี่ยงของการลงทุน การทำอย่างนั้นได้ดีนั้น ผมคิดว่าควรเริ่มต้นจากทัศนะคติในการวิเคราะห์เพื่อเลือกหุ้นลงทุน ซึ่งผมคิดว่าควรเน้นไปที่การมอง “ด้านลบ” ก่อน “ด้านบวก” นั่นคือ เวลาคิดจะซื้อหุ้นนั้น ต้องคิดว่า “อย่าขาดทุน” มากกว่าที่จะหวังผลเลิศว่าจะได้กำไรเท่าไร นอกจากนั้น VI ควรจะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงของการ “หายนะ” ไว้เสมอ นี่คือความเสี่ยงที่อาจจะมีน้อยมากจนบางครั้งเราลืมที่จะคิดถึง สำหรับผมแล้ว สิ่งที่ “Unthinkable” หรือสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย อาจจะเกิดขึ้นได้มากกว่าที่เราคิด แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พอร์ตการลงทุนของเราควรที่จะพร้อมรับกับสถานการณ์อย่างนั้นได้ ซึ่งในเรื่องของความเสี่ยงนี้ เลี่ยงไม่ได้ที่เราจะต้องใช้หลักของการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม นั่นคือ ไม่มากหรือน้อยเกินไป


เรื่องของอารมณ์และจิตใจ ผมคิดว่าเรื่องสำคัญที่สุดของการเป็น VI ก็คือ ความ “ใจเย็น” นี่คือคุณสมบัติที่สำคัญที่จะทำให้เราสามารถคิดได้อย่างมีเหตุผลไม่หุนหันพลันแล่น ไม่ตกใจกลัวและรีบ “ทิ้งหุ้น” เวลามีเหตุการณ์รุนแรงที่กระทบกับตลาดหุ้น เช่นเดียวกับที่ไม่รีบร้อนที่จะ “แย่งซื้อหุ้น” ในยามที่ตลาดหรือหุ้นกำลังร้อนแรง นอกจากความใจเย็นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าต้องฝึกและปฏิบัติก็คือ ความศรัทธายึดมั่นต่อหลักการและแนวทางที่ถูกต้องและที่เราเลือกแล้ว นั่นก็คือ อย่าถูกทำให้ “ไขว้เขว” จากเส้นทางที่มีการพิสูจน์มายาวนานโดยกูรูระดับโลกโดยเหตุการณ์หรือสภาวการณ์บางช่วงบางตอนที่อาจชี้ไปในอีกแนวทางหนึ่ง จงจำไว้ว่าไม่มีแนวทางไหนที่ดีและชนะตลอดเวลา ในบางช่วงเวลานั้น แม้แต่กลยุทธ์หรือวิธีการที่แย่ที่สุดในระยะยาวก็สามารถทำผลงานที่ยอดเยี่ยมกว่าวิธีอื่น ๆ ทั้งหมดได้ โดยนัยยะนี้ VI ที่จะเป็นสายดำได้นั้นจะต้องเรียนรู้และยอมรับว่า บ่อยครั้งหรือบ่อยช่วงเวลา พอร์ตของเราอาจจะแพ้คนอื่นที่อาจจะไม่ได้มีสายรัดสีอะไรเลยก็ได้ แต่ในระยะยาวแล้ว VI สายดำก็จะทำผลตอบแทนได้ดีกว่า


เรียนรู้ความผิดพลาด และเมื่อรู้แล้วต้องรีบแก้ไข อย่าไปยึดมั่นแบบหัวชนฝา
3.เรื่องของการใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับการเป็น VI
          คนเหล่านี้มักใช้ชีวิตแบบ “พอเพียง” หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องกว่าก็คือ ใช้ชีวิตต่ำกว่าฐานะของตนเอง คนเหล่านี้มักจะไม่ได้มีความสุขจากการใช้เงินเพื่อตนเอง สาเหตุสำคัญน่าจะมาจากนิสัยส่วนตัวที่ไม่ได้นิยมความหรูหราทางด้านวัตถุ พวกเขามีความสุขจากกิจกรรมง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้เงิน และที่สำคัญก็คือ มีความสุขจากการลงทุนหรือหาเงินมากกว่าการใช้เงิน ถ้ามองถึงพื้นเพ หลายคนไม่ใช่คนที่ที่บ้านมีฐานะร่ำรวยมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร การใช้ชีวิตต่ำกว่าฐานะของตนเองนั้น น่าจะมีส่วนช่วยให้ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเร็วกว่าโดยเฉพาะในช่วงที่ VI ยังมีเงินน้อย
-------------------------------------------------------------------
สูตรการลงทุนอย่างสบายใจ


ข้อแรก  จงตั้งความหวังผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนในหุ้นให้เหมาะสมนั่นก็คือ  ผลตอบแทนทบต้นต่อปีเฉลี่ยประมาณ 10%    ถ้าเราคิดว่าเรามีความสามารถสูงมาก  ก็อาจจะตั้งความหวังได้สูงขึ้น  แต่สูงสุดไม่ควรเกิน 15ต่อปี   โดยคำว่าระยะยาวของผมนั้นจะต้องยาวไม่ต่ำกว่า 10 ปีขึ้นไป   การตั้งความหวังที่เหมาะสมนั้นจะทำให้เรามีโอกาสบรรลุผลได้ไม่ยากเกินไปซึ่งจะทำให้เราไม่ต้อง  เร่ง  ผลตอบแทนโดยวิธีการต่าง ๆ  ที่มีความเสี่ยงสูง   เช่น  ไม่ต้องเล่น  หุ้นร้อน  หรือ  ไม่ต้องใช้มาร์จินในการซื้อขายหุ้น เป็นต้น   ซึ่งทำให้เราสามารถลงทุนหุ้นได้แบบ  ชิว ๆ 


ข้อสอง  เลือกซื้อหุ้นที่เน้นความปลอดภัยของตัวกิจการเป็นหลัก  นี่คือหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงช้าในด้านของธุรกิจ  เป็นกิจการที่ไม่ล้ำสมัยแต่ไม่ล้าสมัย   เป็นกิจการที่เป็น  ผู้นำ มีฐานะทางการเงินดี  และถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีกก็คือ  เป็นกิจการที่เราเองมีโอกาสได้พบเห็นหรือได้ใช้บริการเป็นประจำ


ข้อสาม  ต้องมีการกระจายความเสี่ยงในการถือหุ้นอย่างเหมาะสม  นั่นก็คือ  ถ้ามีเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป  ก็ควรต้องมีหุ้นอย่างน้อยประมาณ 5 ตัวโดยที่ตัวใหญ่สุดไม่ควรจะเกิน 30%  ของพอร์ต  นอกจากนั้น  ควรจะถือหุ้นในหลาย ๆ  อุตสาหกรรม   แต่ถ้ามีเงินลงทุนค่อนข้างมากเช่นเป็น 10 ล้านบาทขึ้นไป  หุ้นที่ลงก็อาจจะมากขึ้นไปได้   แต่ก็ต้องไม่มากจนเกินไป  เพราะมิฉะนั้นเราก็อาจจะมีหุ้นที่เป็น  เบี้ยหัวแตก  ที่ทำให้เราขาดการเอาใจใส่และทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของเราด้อยลงไปได้  โดยทั่วไปแล้ว  ผมคิดว่าถ้ามีเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท  ก็ไม่ควรถือหุ้นเกิน  10-15  ตัว


ข้อสี่  เราควรพยายามตั้งเป็นกฎคร่าว ๆ  ว่าในแต่ละปีเราจะมีการซื้อขายหุ้นไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ตการลงทุน  กฎง่าย ๆ  ของผมก็คือ  ปริมาณการซื้อขายหุ้นของเราในแต่ละปีไม่ควรจะเกิน 2 เท่าของขนาดของพอร์ตของเรา   เช่น  ถ้าพอร์ตของเราเท่ากับ  1  ล้านบาทในตอนต้นปี  เราควรซื้อขายหุ้นในปีนั้นไม่เกิน 2 ล้านบาท  นั่นแปลว่า  เราจะถือหุ้นแต่ละตัวเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี โดยเฉลี่ย  ถ้าเราซื้อขายหุ้นมากกว่านั้นก็แสดงว่าเราอาจจะถือหุ้นสั้นเกินไปและอาจจะหมายความว่าเราเป็น  นักเก็งกำไร  แทนที่จะเป็น  นักลงทุน”  และประเด็นของผมก็คือ  การเป็นนักเก็งกำไรนั้น  ก่อให้เกิดความตึงเครียดสูงกว่านักลงทุนมาก


ข้อห้า  อย่าสนใจการขึ้นหรือลงของหุ้นแต่ละตัวมากนัก  พยายามมองภาพรวมของพอร์ตหุ้นว่าเติบโตขึ้นหรือลดลง  การไปเน้นดูหุ้นแต่ละตัวก่อให้เกิดความเครียดเพราะเราจะพบหุ้นที่มีราคาตกลงไปมากและอาจจะพยายามไปทำอะไรกับมันที่อาจจะไม่ก่อให้เกิดผลดี   ที่สำคัญก็คือ  อย่าไปดูราคาหุ้นทุกตัวทุกวัน  วิธีที่ผมแนะนำก็คือ  ทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน  เราก็คำนวณดูว่าพอร์ตการลงทุนของเราเป็นเท่าไรโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งมีอยู่มากมาย   โดยการดูเป็นพอร์ตนี้  เราก็จะเห็นว่าความผันผวนมันน้อยลงเมื่อเทียบกับหุ้นแต่ละตัว   และนี่ทำให้เราเครียดน้อยลง  และถ้าเราลงทุนเลือกหุ้นได้ถูกต้องโดยเฉลี่ย  เราก็ควรจะเห็นพอร์ตของเราโตขึ้นอย่างช้า ๆ  และมั่นคงเมื่อเวลาผ่านไป


ข้อหก  การที่เราจะทำอะไรกับหุ้นแต่ละตัวนั้น  ไม่ควรจะเน้นไปที่ด้านของราคาหุ้นรายวัน สิ่งที่เราควรทำก็คือ  ทุกไตรมาศ  เราต้องติดตามดูว่าผลประกอบการของบริษัทเป็นอย่างไร  มันเป็นไปอย่างที่เราคาดไว้ไหม?  เช่น  ดีขึ้น  ดีขึ้นมาก  แย่ลง  แย่ลงมาก  เพราะอะไร?  จากนั้นก็สามารถนำมาตัดสินได้ว่าเราจะทำอะไรกับหุ้น  โดยปกติถ้าเราลงทุนหุ้นถูกตัวแล้ว  ส่วนใหญ่เราก็มักจะไม่ต้องทำอะไร   แต่ในบางกรณีที่เราคาดการณ์ผิด  เราก็อาจจะขายทิ้งได้   เช่นเดียวกัน  บางครั้งเราก็อาจจะซื้อเพิ่ม  โดยวิธีนี้   เราก็ไม่ต้องกังวลเป็นรายวันกับราคาของหุ้นมากนัก


ข้อเจ็ด  เมื่อเราได้รับปันผลมา  อย่านำเงินไปใช้หรือเอาออกจากพอร์ตถ้าไม่จำเป็น   นำปันผลนั้นกลับไปซื้อหุ้นกลับเข้าพอร์ตเพื่อทำพอร์ตให้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ  และเป็นหลักการลงทุนแบบทบต้นซึ่งจะทำให้พอร์ตโตเร็วขึ้นแบบทวีคูณ  เป้าหมายของเราควรจะตั้งไว้ว่าเราต้องการสร้างพอร์ตนี้เพื่อเป็นเงินเพื่อการเกษียณหรือเป็นเงินมรดกเพื่อลูกหลาน  เงินที่เราจะนำไปใช้จ่ายนั้นควรเป็นเงินที่เราทำมาหาได้จากน้ำพักน้ำแรงมากกว่า   ถ้าคิดได้แบบนี้  เราก็จะสบายใจว่านี่เป็น  เงินเย็น  ที่จะอยู่กับเราต่อไปอีกนานเราจะเครียดน้อยลง


 ข้อแปด  ทุกปี  เราต้องคำนวณหาผลตอบแทนประจำปีดูว่าเราทำได้เท่าไรเทียบกับผลตอบแทนของตลาดและเทียบกับเป้าหมายระยะยาวของเราซึ่งก็คือ  10-15ที่เราตั้งไว้  ถ้าเราทำได้ดีกว่าตลาดและดีกว่าเป้า  เราก็ควรจะดีใจโดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่น   ถ้าเราทำได้แพ้ตลาดแต่ยังทำได้ตามเป้าเราก็ยังควรจะดีใจเพราะในไม่ช้าเป้าหมายระยะยาวของเราก็ไปได้ถึง   แต่ถ้าเราแพ้ทั้งตลาดและก็ไม่ได้ตามเป้าส่วนตัวของเรา   เราก็อาจจะเสียใจบ้างแต่ก็ควรจะดูต่อไปว่าปันผลที่ได้รับในปีนั้นของเราเพิ่มขึ้นหรือไม่  ถ้ามันยังเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน  นั่นก็อาจจะเป็นเครื่องปลอบเราว่าที่จริงการลงทุนของเรานั้นไม่ได้ผิดพลาด  มันยังก้าวหน้าไป  เพียงแต่ในระยะสั้น ๆ  ตลาดหุ้นอาจจะไม่เป็นใจทำให้ราคามันลดลง  แต่ในอนาคต  มันก็คงจะปรับตัวขึ้นไปได้ไม่ยาก ว่าที่จริง ในระยะยาวจริง ๆ  แล้ว   ปันผลนั้นถือว่าเป็นเครื่องวัดที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่งว่า   เราลงทุนได้ถูกต้องหรือเปล่า  ถ้าปันผลเพิ่มขึ้นทุกปีในอัตราที่น่าประทับใจ  เราก็ไม่มีอะไรต้องวิตกเลย