1.แนวโน้มของความสม่ำเสมอของกำไร
2.หุ้นที่มีการรับค่าสินค้าและบริการเป็นเงินสด จะเป็นหุ้นที่มีคุณภาพของกำไรสูงกว่า
3.หุ้นที่มีคุณภาพของกำไรสูงคือ หุ้นที่สามารถเพิ่มรายได้และกำไร โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มหรือลงทุนค่อน
ข้างน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้น
รูปแบบอันตราย
1.หุ้นที่เรียกว่า capital intensive ถือว่ามีแนวโน้มของคุณภาพกำไรที่ต่ำ
1.1 หุ้นที่ต้องการใช้เงินลงทุนสูงในการเพิ่มกำไร ทำให้กำไรที่ได้ในปีปัจจุบันจะต้องถูกเก็บไว้สำหรับลง
ทุนใหม่ๆตลอดเวลาเพื่อเพิ่มยอดขาย
- หุ้นประเภทดังกล่าวมักจะเป็นหุ้นโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าที่ไม่มีแบรนด์ของตัวเอง
1.2 หุ้นที่มีคุณภาพของกำไรที่ต่ำมากไปอีกคือ หุ้นที่จะต้องมีการลงทุนตลอดเวลาเพื่อรักษารายได้และ
กำไรให้คงที่ หุ้นประเภทนี้มักจะเป็นหุ้นที่กระบวนการผลิตมีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเร็วมาก
- หุ้นธนาคาร ก็เป็นหุ้นที่มีคุณภาพของกำไรค่อนข้างต่ำ
วิธีการตัดสินใจรูปแบบหนึ่ง
1.ถ้าซื้อมา 100 ขึ้นไป 130 แล้วลงมาเหลือ 120 ก็ให้ถามตัวเองว่า สมมติว่าเราไม่เคยซื้อหุ้นตัวนี้มาก่อน ที่ราคา 120 เราจะซื้อหรือไม่ ถ้าคำตอบคือ ซื้อ ก็ไม่ต้องขายครับ แต่ถ้าคำตอบคือไม่ ก็อาจจะขายไปก่อนก็ได้ครับถ้าอยากขาย วิธีนี้ใช้ได้ทั้งนั้นไม่ว่าจะเล่นแบบพื้นฐานหรือเก็งกำไร
2.ควรลงทุนในกองทุนหุ้นที่อิงดัชนีซึ่งไม่ต้องอาศัยฝีมือผู้บริหาร และควรเลือกผู้จัดการที่คิดค่าธรรมเนียมต่ำที่สุด ข้อสาม อย่าพยายามตามหากองทุนที่กำลัง “ร้อน” ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหุ้นประเภทไหน เพราะจับเข้าไปก็คงถูก “ลวก” มากกว่า
และสุดท้าย ถ้าเรามีความรู้บ้างและมีเงินลงทุนระดับหนึ่งเช่นหนึ่งล้านบาทขึ้นไป เราสามารถสร้างพอร์ตลงทุนส่วนตัวที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนคล้าย ๆ กับกองทุนรวมหรือตลาดหลักทรัพย์แต่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการบริหารปีละประมาณ 2% ได้ไม่ยาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น