วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555


ชีวิตชีวาของหุ้น


1.ที่เป็นปัจจัยหนึ่งในการเลือกหุ้นก็คือ  ธุรกิจนั้น   เรา  “ภูมิใจ” ที่จะได้เป็นเจ้าของหรือไม่
2.ธุรกิจนั้น  เป็นสินค้าที่คนรุ่นใหม่กำลังนิยมใช้มากหรือไม่   มันเป็นเทรนด์หรือเป็น  “แฟชั่น”  หรือไม่    ถ้าคำตอบก็คือ  นี่เป็นสินค้าที่คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยได้ใช้แล้ว   คนรุ่นใหม่ไม่สนใจหรือกำลังเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้อย่างอื่น  แบบนี้ก็ต้องระวังว่าอนาคตอุตสาหกรรมอาจจะกำลังตกต่ำลง   ตรงกันข้าม   สินค้าหรือบริการที่คนรุ่นใหม่กำลังนิยมใช้หรือเริ่มเข้ามาใช้บริการมากขึ้นเรื่อย ๆ  หรือแสดงความสนใจศึกษามากขึ้นเรื่อย ๆ  แบบนี้ก็แสดงว่าสินค้าหรือบริการนั้นกำลังอยู่ในเทรนด์ของคนรุ่นใหม่  อนาคตและการเติบโตของอุตสาหกรรมน่าจะดีขึ้น
3.กิจการมีการเติบโตต่อเนื่องเห็นได้จากการ  “เปิดร้านสาขาใหม่ ๆ”  เพิ่มขึ้นตลอดทั้งในทำเลที่ใกล้เคียงและในทำเลใหม่ ๆ  ที่ยังไม่เคยเปิดมาก่อน    ความคึกคักของร้านนั้นสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนจากร้านที่  “ดูใหม่”  และทันสมัย
4.เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการแล้วรู้สึก  “โดน”  มาก   คือรู้สึกประทับใจและถ้าเลือกได้ก็จะใช้ของบริษัทนี้   นอกจากนั้นเพื่อน ๆ  หรือคนอื่นก็พูดคล้าย ๆ  กัน    คำว่าประทับใจหรือพอใจนั้นต้องดูโดยรวมและเทียบกับราคาของสินค้าหรือบริการนั้นด้วย
5.รู้สึกว่าบริษัทมี  “ความมั่นคงมาก”  ความรู้สึกนี้มักจะมาจากการที่บริษัท  ก่อตั้งมานาน  มีระบบการจ้างงานที่ดี  ให้เงินเดือนหรือสวัสดิการดี   องค์กรจ้างคนที่มีคุณสมบัติสูงเมื่อเทียบกับองค์กรอื่นที่จ้างคนที่มีระดับการศึกษาเดียวกัน
6.พนักงานของบริษัท  “ดูดี”  เช่น ขยันและเอาใจใส่กว่าบริษัทคู่แข่ง  แต่งตัวดีและหน้าตาดีกว่าบริษัทอื่นในระดับเดียวกัน
7.กิจการมีการ  “เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”  เช่นเดิมทีต้องรอนานและพนักงานไม่สนใจลูกค้า  กลายเป็นเร็วขึ้นและต้อนรับลูกค้าอย่างดีและมีบริการใหม่ ๆ  มาเสนอต่อลูกค้าตลอด

แรงจูงใจของเจ้าของ


 1.บริษัทเป็นกิจการขนาดเล็กที่มีผลการดำเนินงานดี  มีทรัพย์สินมากเมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้นของบริษัท  มีเงินสดค่อนข้างมากขณะที่ไม่มีหนี้จากการกู้ยืม  ปีแล้วปีเล่า  บริษัทจ่ายปันผลค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับกำไรที่ทำได้ทั้ง ๆ  ที่กิจการของบริษัทก็ไม่ได้ขยายงานอะไรนักและก็ไม่ใช่กิจการที่ต้องลงทุนมาก  บริษัทนี้มีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นคนที่ร่ำรวยมาก   มีกิจการอื่นที่ใหญ่โตอยู่นอกตลาดหุ้น  มีพนักงานมากมายที่เป็นคนเก่าแก่ที่เขาต้องดูแลและรักษาเอาไว้โดยการให้ผลตอบแทนที่ดี    สำหรับเจ้าของรายนี้  ความมั่งคั่งของเขาที่มีอยู่ในบริษัทจดทะเบียนที่กล่าวถึงนี้คิดเป็นสัดส่วนน้อยมาก  ดังนั้น  เขาจึงไม่ใคร่สนใจที่จะต้องได้รับผลประโยชน์มากมายจากบริษัท  ในอีกด้านหนึ่ง  เขาก็ส่งคนเข้าไปเป็นกรรมการและ/หรือผู้บริหารในบริษัทจดทะเบียน  คนเหล่านี้บางคนก็ยังทำงานในบริษัทส่วนตัวของเขาอยู่  ดังนั้น  ผมจึงสงสัยว่า  ผู้ถือหุ้นใหญ่อาจจะไม่ได้ต้องการเงินปันผลมากนัก  แต่เขาอาจจะต้องการใช้บริษัทนี้เป็นแหล่งให้ผลประโยชน์แก่ลูกน้องของเขาผ่านเงินเดือน  เบี้ยประชุม  หรือแม้แต่  ESOP มากกว่า
2. บริษัทเป็นกิจการที่ดีมาก  มีกำไรสูงมาตลอด  มีเงินสดเหลือล้น  และการลงทุนเพิ่มก็ไม่ได้มีมากนัก  แต่บริษัทก็จ่ายปันผลน้อยมาก  สืบดูแล้วพบว่า  ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทนั้นเป็นสถาบันที่  “ไม่มีเจ้าของ”  การบริหารงานและการตัดสินใจต่าง ๆ  อยู่ในมือของผู้บริหาร  ดังนั้น   แรงจูงใจที่จะจ่ายปันผลมากดูเหมือนว่าจะไม่มี   ต่อมามีการ  Take Over หรือครอบงำกิจการโดยบุคคลซึ่งรวมถึงผู้บริหารด้วย   หลังจากการเปลียนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่กลายเป็นกิจการที่  “มีเจ้าของ” แล้ว  บริษัทก็ประกาศจ่ายปันผลอย่าง  “มโหฬาร”  แรงจูงใจเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
3.บริษัทนี้เป็นกิจการเก่าแก่  กิจการของบริษัทหรือที่จริงน่าจะเรียกว่ากลุ่มบริษัทนั้นหลายอย่างอาจจะเรียกว่าอยู่ในอุตสาหกรรม  “ตะวันตกดิน”   บริษัทก็มีการขยายงานไปในอุตสาหกรรมที่กำลังรุ่งเรืองเช่นกันทั้งในและต่างประเทศ  ถ้ามองจากทรัพย์สินและผลการดำเนินงานรวมถึงปันผลที่ค่อนข้าง  “สม่ำเสมอในแง่ของเม็ดเงิน”  หุ้นนี้เป็นหุ้นที่  “ถูกมาก” ตัวหนึ่ง   ดูเหมือนว่าผู้ถือหุ้นรายย่อยกำลังถือหุ้นที่คล้าย ๆ  กับหุ้นกู้ที่ได้ดอกเบี้ยในอัตราที่พอสมควร   ซึ่งจากการสังเกตของผมก็ดูเหมือนว่าผู้ถือหุ้นที่มักจะถือมายาวนานก็พอใจ  ในด้านของบริษัทเองนั้น  บริษัทแทบไม่เคยให้ข่าวกับสื่อมวลชนเลย  ดูเหมือนว่าบริษัทจะไม่สนใจว่าราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร  ว่าที่จริงบริษัทอาจจะไม่ต้องการให้หุ้นมีราคาสูงขึ้นด้วยซ้ำ   เพราะราคาที่สูงขึ้นอาจจะทำให้เกิดความคาดหวังที่สูงขึ้นกับนักลงทุน   ดังนั้น  ผมสรุปว่า   แรงจูงใจของเจ้าของในกรณีนี้ไม่ใช่อยู่ที่ปันผลที่มากขึ้น  หรือราคาหุ้นที่สูงขึ้น   แต่อาจจะเป็นอะไรที่ผมไม่รู้  นักลงทุนที่เจอสถานการณ์แบบนี้ก็ต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไร
4.กิจการของนักธุรกิจที่นักเล่นหุ้นโดยเฉพาะที่เป็น “ขาใหญ่”  ในตลาดบอกว่า  “เขี้ยว”  จัด   นั่นก็คือ  เข้าไปเล่นด้วยลำบาก  เพราะจะถูก  “กิน”   ชื่อเสียงเจ้าของดูเหมือนจะไม่ดีเลยในสายตาของนักเล่นหุ้นทั้งรายใหญ่และรายย่อย   ส่วนหนึ่งผมคิดว่าเป็นเพราะวิธีและกลยุทธ์ในการบริหารธุรกิจที่มักถูกวิจารณ์จากสื่อว่าไม่เป็นธรรมกับคู่ค้าที่อ่อนแอกว่ามากทำให้ชื่อเสียงโดยทั่วไปไม่ดีนัก  แต่เหตุผลหลักน่าจะอยู่ที่ราคาหุ้นของบริษัทที่มักจะขึ้นไปได้ไม่เท่าไรแล้วก็ลงและในกระบวนการนั้นมักทำให้นักเล่นหุ้นขาดทุน   อย่างไรก็ตาม  กิจการในกลุ่มของเจ้าของรายนี้มักจ่ายปันผลค่อนข้างดีเมื่อมีกำไร    นอกจากนั้น  บริษัทในกลุ่มมักจะมีการประชาสัมพันธ์ทั้งในด้านของกิจการและผลการดำเนินงานอย่างทั่วถึงและกว้างขวาง  ดูเหมือนว่าผู้บริหารอยากจะให้หุ้นมีราคาสูงขึ้นสะท้อนผลการดำเนินงานเต็มที่  ข้อสรุปของผมก็คือ  อดีตจะเป็นอย่างไรก็ตาม   แต่ ณ. ขณะนี้  ดูเหมือนแรงจูงใจของเจ้าของจะเน้นที่ผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเต็มที่  เขาคงคิดแล้วว่า  นี่คือวิธีที่จะสร้างความมั่งคั่งให้ตนเองได้สูงสุดแทนที่จะไป “กิน”  ด้วยวิธีอื่น
5.กรณีเจ้าของกิจการบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพต่ำพยายามตักตวงผลประโยชน์จากสถานะของการเป็นหุ้นที่ซื้อขายในตลาด  มักจะ “ไซฟ่อน”  หรือใช้เงินของบริษัทเพื่อตัวเองเป็นปกติอยู่แล้วผ่านกระบวนการหลาย ๆ  อย่าง เช่นการซื้อทรัพย์สินเป็นต้น  อย่างไรก็ตาม  ในช่วงที่โอกาสอำนวย  เช่นในช่วงที่ธุรกิจเป็น “ขาขึ้น”  หรือตลาดหุ้นกำลังร้อนแรง  เขาก็จะ  “สร้างสถานการณ์ “  ซึ่งมักจะรวมถึงการสร้างตัวเลขผลงานให้ดูดี   หรือประกาศการขยายงานหรือทำกิจการใหม่ที่น่าตื่นเต้นเพื่อกระตุ้นราคาหุ้นให้ขึ้นไปสูงซึ่งเขาก็จะสามารถขายทำกำไร  ในขณะที่นักเล่นหุ้นต้องขาดทุนเมื่อราคาหุ้นตกลงมาหลังจากเรื่องดี ๆ  ที่ปล่อยออกมานั้นหมดไปและบริษัทกลับมาอยู่ในสถานะที่  “ไร้คุณภาพ”







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น