วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555


1.ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ การลงทุนแบบเน้นคุณค่าให้ความสำคัญกับ”ปัจจัยพื้นฐาน”ของบริษัทที่ลงทุน มากกว่าราคาหุ้น รวมทั้งพื้นฐานของบริษัทไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเหมือนราคาหุ้น ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องติดตามราคาอย่างใกล้ชิดเท่ากับการเก็งกำไร ลดเวลาการเฝ้าหน้าจอเพื่อดูราคาหุ้นไปได้มากทีเดียว
2.ไม่ต้องซื้อขายบ่อย ลงทุุนแบบเน้นคุณค่านั้นมีระยะเวลาในการถือครองหุ้นนานขึ้น รวมทั้งไม่มีความจำเป็นต้องเทรดหุ้นบ่อยๆ ทำให้มีเวลาให้ความสำคัญกับงานประจำมากยิ่งขึ้น
3.ไม่ต้องวิตกกังวล   สำหรับการลงทุนแบบเน้นคุณค่าแล้วในกรณีเช่นที่กล่าวมาแล้วนี้ มีโอกาสเกิดขึ้นได้ไม่มากนัก เพราะราคาหุ้นระยะสั้นไม่ได้มีผลทำให้ต้องตัดสินใจขายหุ้นออกไปอย่างรวดเร็ว หรือในทางกลับกัน การที่หุ้นมีราคาลดลงอาจจะเป็นโอกาสดีที่จะได้ซื้อหุ้นพื้นฐานดีในราคาที่ ถูกลงก็เป็นไปได้ ดังนั้นนักลงทุนจึงไม่มีความวิตกกังวลกับราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง เท่าใดนัก ทำให้การทำงานประจำมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับมือใหม่แล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำมิใช่การเดินไปเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ แต่สิ่งที่ควรจะทำคือนั่งคิดเสียก่อนว่า ที่จะมาลงทุน(เล่น)หุ้นกันนี่เพราะเราต้องการอะไร เมื่อคิดได้แล้วต่อไปก็ไปเปิดบัญชีได้ แต่เดี๋ยวก่อน! ยังไม่ต้องซื้อหุ้นใดๆทั้งสิ้นไม่ว่าจะมีเสียงหวานๆแนะนำหุ้นเด็ดๆมาให้เป็น อันขาด บริษัทที่คุณ ควรจะสนใจนั้นควรจะเป็นบริษัทที่คุณคุ้นเคย มีโอกาสได้ใช้บริการแล้วเกิดอาการหลงใหลมีโอกาสต้องไปใช้บริการซ้ำอีก และอีก กินแล้วก็กินได้อีก ใช้แล้วก็ต้องซื้อใหม่อีก และเพื่อนๆของคุณก็เป็นเหมือนๆกับคุณ คือใช้สินค้าและบริการก็ติดใจ และที่ต้องดูอีกว่าคุณเข้าใจสินค้าและบริการนั้นๆไหม ไม่ใช่ชอบใช้แต่ไม่เข้าใจว่าเขาดำเนินธุรกิจกันอย่างไร ถ้าเป็นอย่างนั้นมีสองทางคือ ศึกษาให้รู้เสียก่อน หรือถ้าเกินแก่ความสามารถก็ขอให้ถอยไปก่อน ตัวอย่างง่ายๆที่อยากจะยกให้ เห็นคือร้านซูปเปอร์สโตร์ เมื่อก่อนเราซื้อของกันที่ร้านเล็กๆแถวบ้าน ซื้อสบู่ ผงสักฟอกกันที่ละชิ้น สังเกตุบ้างไหมว่าเดี๋ยวนี้เราซื้อยกห่อ และเราก็ซื้อกันทีละมากๆ วิถีชีวิตของเราเปลี่ยนไปแบบที่เราเองก็ไม่รู้ตัว และธุรกิจเหล่านี้ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ลองมาดูเครื่องดื่มที่เราก็มักจะเรียกติดปากกันแม้มันจะมียี่ห้อใหญ่ๆสอง ยี่ห้อ แต่เราก็ติดปากแค่ยี่ห้อเดียว ขายกันมาเป็นสิบๆปีทุกวันนี้ก็ยังขายได้ขายดีอยู่ อาหารสำเร็จรูป ขนมปัง โรงแรม โรงพยาบาล โรงหนัง ฯลฯ เพียงแต่เราต้องศึกษาว่าบริษัทไหนเป็นผู้นำและขายดีที่สุด คู่แข่งไม่สามารถเอาชนะได้ง่าย นั่นแหละสิ่งที่เราต้องการ 
          สิ่งต่อไป ก็ยังไม่ใช่การซื้อหุ้นอยู่ดีแหละครับ เราต้องแน่ใจว่าบริษัทที่เราคัดผ่านรอบแรกมาแล้วนั้นไม่ใช่หุ้นผีดิบ ไม่มีเลือดเนื้อ หุ้นผีดิบนั้นจะเป็นหุ้นที่อาศัยศาสตร์ลึกลับทำให้มันลุกขึ้นมาวิ่งลากฝูง แมงเม่าขึ้นดอยได้อย่างสบาย สิ่งที่เรากำลังค้นหาคือหุ้นที่มีเลือดเนื้อ สดใสเหมือนสาวแรกรุ่น ตรงนี้เราต้องใช้วิชาจีบสาวกันหน่อย คล้ายๆกับการเข้าไปพูดคุยให้ได้ ตีสนิทและไปเยี่ยมๆพ่อแม่ที่บ้านเสียหน่อย ไปดูฐานะทางการเงินว่ามั่นคงไหม เผื่อว่าเราจะได้ตกถังข้าวสารสบายไป สำหรับบริษัทนั้นเราต้องดูที่งบการเงิน และต้องดูย้อนหลังไปหลายๆปี เพราะเวลาแต่งงบการเงินหรอกแมงเม่าเขาจะแต่งกันไม่กี่ปี แต่ถ้านานๆแล้วมักปิดไม่มิดหรอกถ้าไม่หลงจนเกินไปเราควรต้องเห็น ส่วนนี้เราต้องเรียนรู้เรื่องบัญชีกันพอให้รู้บ้าง 
         ต่อไปก่อนซื้อหุ้นก็ต้องดูกันก่อน ว่า เราจะต้องจ่ายเท่าไร และเราจะได้ผลตอบแทนเท่าไร ซื้อหุ้นมันต้องได้กำไรตั้งแต่ตอนซื้อเลยทีเดียว ผมเชื่อว่าหลายท่านเวลาจะแต่งงานนั้นไตร่ตรองมากอยู่ว่าแต่งดีหรือเปล่า แต่งแล้วจะมีความสุขไหม คู่ของเราจะช่วยให้เราและครอบครัวเจริญรุ่งเรื่องหรือเปล่า ไม่ใช่มาช่วยกันใช้เงินก็เสร็จกัน ที่ผมบอกนี้ผมกำลังบอกว่าตอนเราซื้อหุ้นนั้นให้หาหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า หรือหุ้นที่ราคาถูกเมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไรที่เป็นเงินสด กำไรเทียมๆไม่เอา คล้ายกับคุณซื้อของมูลค่าสูงในราคาถูกๆ ขายออกก็กำไรทันที ถ้าเราเจอหุ้นเหล่านี้ผมรับรองว่าเราจะไม่ขาดทุนแน่นอน
------------------------------------------------------------------------------------------

สิ่งที่ต้องรู้ 10 ประการก่อนการลงทุน

1.หุ้นไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียว เมื่อคุณซื้อหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง คุณจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้น ซึ่งบริษัทนั้นจะมีผู้ถือหุ้นคนอื่นๆมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของด้วย ดังนั้นหุ้นหนึ่งหุ้นก็จะมีส่วนได้เสียในสินทรัพย์และผลกำไรของบริษัทนั้นๆ
2.หุ้นมีหลายแบบ การจะจำแนกหุ้นในตลาดออกนั้นโดยปกติจะจำแนกโดยขนาดของบริษัท(โดยวัดจากขนาด มูลค่าตลาดของหุ้นบริษัทนั้นๆ) อุตสาหกรรม รูปแบบการเติบโตของหุ้น เป็นต้นว่านักลงทุนมักจะพูดถึงหุ้นขนาดใหญ่กับหุ้นขนาดเล็ก หุ้นพลังงานกับหุ้นบันเทิง หุ้นโตเร็วกับหุ้นมูลค่า เวลาเราซื้อหุ้นเราไม่ต้องไปสนใจเรื่องเหล่านี้มากนัก แต่เราต้องสนใจพื้นฐานโดยรวมว่าแข็งแกร่งเพียงพอหรือไม่ ตรงนี้สำคัญกว่ามากครับ
3. หุ้นจะเปลี่ยนแปลงไปตามผลประกอบการ ในระยะสั้น ราคาหุ้นจะขึ้นลงไปตามพฤติกรรมต่างๆของผู้เล่นในตลาด เช่นความกลัว ข่าวลือ ข่าวจริงเป็นต้น แต่ในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นไม่ว่าจะขึ้นจะลง หรือทรงตัวทั้งหมดจะเปลี่ยนแปลงไปตามผลประกอบการ ดังนั้นตั้งสติให้ดีครับว่าหุ้นที่เรามีอยู่นั้นปรับตัวด้วยเหตุผลใด และเป็นไปตามพื้นฐานผลประกอบการหรือไม่ ถ้าไม่เป็นโอกาสครับ
4.หุ้นเป็นการลงทุนที่ดีที่สุดในการได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองมา หุ้นที่มีขนาดใหญ่ๆมีผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 11% ต่อปี สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ และสูงกว่าผลตอบแทนจากพันธบัตร ที่ดินและการออมอื่นๆ ดังนั้นการลงทุนในหุ้นจึงเป็นทางที่ดีที่สุดในการออมเงินเพื่ออนาคต
5. หุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่งไม่ได้หมายถึงตลาดทั้งตลาด หุ้นที่ดีจะสามารถขึ้นได้แม้ว่าตลาดหุ้นจะลง ในขณะที่หุ้นแย่ก็ลงได้แม้ตลาดจะขึ้น
6. หุ้นที่มีผลดำเนินการดีมาโดยตลอดไม่ได้หมายความว่ามันจะมีผลดำเนินงานที่ดี ในอนาคต ราคาหุ้นจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการในอนาคต ดังนั้นหากหุ้นที่เคยมีประวัติที่ดีก็สามารถล่วงได้หากผลดำเนินงานในอนาคต แย่ลง ข้อนี้สำคัญมากครับ ต้องระวังเสมอ มีตัวอย่างให้เห็นโดยเฉพาะหุ้นพวกวัฎจักร
7. คุณไม่สามารถบอกว่าหุ้นถูกหรือแพงเพียงแค่ดูที่ราคาซื้อขายขณะนั้น เนื่องจากราคาหุ้นนั้นจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการ ดังนั้นหุ้นราคา 100 บาท อาจจะมีราคาถูกหากผลดำเนินงานดีต่อเนื่องในอนาคต ในขณะเดียวกันหุ้นราคา 2 บาทอาจจะแพงหากผลการดำเนินงานมีแนวโน้มไม่สดใส
8.นักลงทุนมักจะเปรียบเทียบราคาหุ้นกับองค์ประกอบอื่นๆเพื่อหามูลค่าหุ้น เพื่อที่จะรู้ว่าหุ้นสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าที่ควรเป็น นักลงทุนมักจะเปรียบเทียบราคาหุ้นกับยอดขาย กำไร กระแสเงินสด และเกณฑ์อื่นๆ การเปรียบเทียบความคาดหวังในผลดำเนินงานของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมใดๆก็ เป็นส่วนสำคัญ เช่นการดำเนินงานในอุตสาหกรรมที่โตช้าจะถูกคาดหวังต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่โต อย่างรวดเร็ว ซึ่งความคาดหวังในผลดำเนินงานนี้จะมีผลอย่างมากต่อราคาหุ้น
9. กลุ่มหลักทรัพย์ที่ดีมักจะมีหุ้นที่แข็งแกร่งของทุกๆกลุ่มอุตสาหกรรมรวมอยู่ โดยทั่วไปแล้ว พอร์ตที่ดีมักจะประกอบไปด้วยหุ้นในหลายอุตสาหกรรม ทั้งนี้เพราะว่าหากมีบริษัทใดเกิดราคาลงก็ยังมีหุ้นอีกหลายตัวช่วยพยุงไว้ ทำให้ไม่เสียหายมาก หรือยังมีผลตอบแทนที่ดีอยู่
10. การลงทุนที่ฉลาดคือการที่ซื้อหุ้นดีๆและถือไว้ให้ยาวที่สุดมากกว่าการซื้อ ขายรายวัน ต้นทุนในการซื้อขายจะลดลงอย่างมากหากเราซื้อและถือ จะขายก็เมื่อจำเป็นเช่นเห็นโอกาสอื่นที่ดีกว่า ตัวที่จะวัดว่าโอกาสอื่นดีกว่าหรือไม่ก็คือผลตอบแทนจากหุ้นเดิมที่เราลง ทุนอยู่นั่นเอง เวลาจะขายหุ้นเพื่อเปลี่ยนบริษัทต้องดูให้แน่ใจว่าดีกว่าเดิมหรือไม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น