-เพิ่มความคล่องให้หุ้น
-ผู้ถือหุ้นเท่าเดิม ก็มีหุ้นเพิ่มขึ้น
-เงินปันผลก็เหมือนเดิม แตกมูลค่าตามกันไปตามผลประกอบการ และการจ่ายปันผล
------------------------------------------------------------------------------
Mark to market
จริงๆ แล้ว หมายถึงการปรับมูลค่าของหุ้น พอร์ท หรือพันธบัตรที่เรามี ให้เท่ากับราคาตลาด
- สำหรับพันธบัตร เมื่ออัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงขึ้น ความน่าสนใจของ
การซื้อพันธบัตรจะลดลง ราคาตลาดของพันธบัตรจะลดลงด้วย
------------------------------------------------------------------------------
ข้อยกเว้นอะไรบ้างครับ
ที่หุ้นสามารถลงต่ำกว่า Floor (30%) หรือสามารถขึ้นทะลุ Ceiling (30%)
1.IPO
2.หุ้นต่ำบาทขึ้นได้เกิน 30% แต่ไม่เกินสองเท่า
- ราคาของหุ้นสามัญที่ราคาต่ำกว่า 1 บาท จะไม่ได้คำณวนจาก 30% ของราคาปิดเมื่อวาน
Ceiling จะคิดเป็น 2 เท่าของราคาปิดเมื่อวาน ในขณะที่ราคาของ floor จะต่ำสุดที่ 0.01
-------------------------------------------------------------------------------
มีหุ้นตัวหนึ่ง มีค่า PB สูงเกินครึ่งหนึ่งของ PE เสียอีก มันบ่งบอกว่าอะไรครับ
แสดงว่าหุ้นตัวนั้นจะต้องมี roe สูงมากครับ ซึ่งหลักๆ มี 2 เหตุผลสำคัญคือ
1 เป็นหุ้นที่มีสินทรัพย์ไม่มีตัวตนสูง เช่น brand หรือสินทรัพย์ทางปัญญา ซึ่งจะไม่แสดงในงบดุล และบริษัทเหล่านี้มักจะมี profit margin ที่สูง ดังนั้นหุ้นเหล่านี้มักจะมี roe และ p/bv สูง
2 เป็นหุ้นวัฎจักรตอนใกล้ๆ จุดสูงสุดของ cycle ครับ ลักษณะคือ p/e ต่ำมาก ปันผลสูงมาก แต่ p/bv จะสูงมากเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ATC หุ้นเรือ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมากครับ หรือเป็นหุ้นที่มีผลการดำเนินงานไม่แน่นอน ประเภทกำไรปีขาดทุนปี
1 เป็นหุ้นที่มีสินทรัพย์ไม่มีตัวตนสูง เช่น brand หรือสินทรัพย์ทางปัญญา ซึ่งจะไม่แสดงในงบดุล และบริษัทเหล่านี้มักจะมี profit margin ที่สูง ดังนั้นหุ้นเหล่านี้มักจะมี roe และ p/bv สูง
2 เป็นหุ้นวัฎจักรตอนใกล้ๆ จุดสูงสุดของ cycle ครับ ลักษณะคือ p/e ต่ำมาก ปันผลสูงมาก แต่ p/bv จะสูงมากเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ATC หุ้นเรือ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมากครับ หรือเป็นหุ้นที่มีผลการดำเนินงานไม่แน่นอน ประเภทกำไรปีขาดทุนปี
หุ้นประเภท 2 คือหุ้นวัฎจักร จะแบ่งได้เป็น 2 ประเภท
1 Commodity Cyclical หุ้นประเภทนี้คือพวกที่สินค้าหน้าตาเหมือนกันเลย คือ น้ำมัน ปิโตรเคมี ถ่านหิน เหล็ก เรือ ฯลฯ พวกนี้ยังไงก็ไม่น่าจะมี brand ครับ โอกาสเป็นหุ้นประเภท 1 ด้วยคงไม่มี
2 Economic Cyclical หุ้นพวกนี้เป็นหุ้นวัฎจักร แต่ขึ้นลงตามวัฎจักรเศรษฐกิจเป็นสำคัญ หุ้นพวกนี้ได้แก่ อสังหาฯ วัสดุก่อสร้าง ยานยนต์ ฯลฯ ดังนั้นโอกาสที่เป็นประเภท 1 และ 2 พร้อมกันก็เกิดขึ้นได้หากหุ้นเหล่านี้มี brand ตัวหนึ่งที่ผมนึกออกคือ LH ซึ่งในช่วงเศรษฐกิจดีกลุ่มอสังหาฯ ก็จะมี roe สูง และเศรษฐกิจไม่ดี roe ก็จะต่ำ แต่อย่างไรก็ตามการที LH มี brand ที่เป็นที่นิยมสูงก็จะทำให้ roe หรือ net margin ของ LH จะสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
Lh ก็เป็นหุ้นที่มีลักษณะ 1 และ 2 ปนกัน คือเป็นวัฎจักรที่มี brand ดังนั้น หุ้น LH หากถือยาวๆ ก็จะเจอกับ cycle ขึ้นลงแรงๆ แต่ในระยะยาวๆ หุ้น LH ก็จะปลอดภัยกว่าหุ้นวัฎจักรโดยทั่วๆ ไปคือแม้ว่าขาลงก็คงจะไม่ทำให้นักลงทุนหมดตัวและเมื่อเป็นขาขึ้นจะกลับมาได้เร็วกว่าครับ
1 Commodity Cyclical หุ้นประเภทนี้คือพวกที่สินค้าหน้าตาเหมือนกันเลย คือ น้ำมัน ปิโตรเคมี ถ่านหิน เหล็ก เรือ ฯลฯ พวกนี้ยังไงก็ไม่น่าจะมี brand ครับ โอกาสเป็นหุ้นประเภท 1 ด้วยคงไม่มี
2 Economic Cyclical หุ้นพวกนี้เป็นหุ้นวัฎจักร แต่ขึ้นลงตามวัฎจักรเศรษฐกิจเป็นสำคัญ หุ้นพวกนี้ได้แก่ อสังหาฯ วัสดุก่อสร้าง ยานยนต์ ฯลฯ ดังนั้นโอกาสที่เป็นประเภท 1 และ 2 พร้อมกันก็เกิดขึ้นได้หากหุ้นเหล่านี้มี brand ตัวหนึ่งที่ผมนึกออกคือ LH ซึ่งในช่วงเศรษฐกิจดีกลุ่มอสังหาฯ ก็จะมี roe สูง และเศรษฐกิจไม่ดี roe ก็จะต่ำ แต่อย่างไรก็ตามการที LH มี brand ที่เป็นที่นิยมสูงก็จะทำให้ roe หรือ net margin ของ LH จะสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
Lh ก็เป็นหุ้นที่มีลักษณะ 1 และ 2 ปนกัน คือเป็นวัฎจักรที่มี brand ดังนั้น หุ้น LH หากถือยาวๆ ก็จะเจอกับ cycle ขึ้นลงแรงๆ แต่ในระยะยาวๆ หุ้น LH ก็จะปลอดภัยกว่าหุ้นวัฎจักรโดยทั่วๆ ไปคือแม้ว่าขาลงก็คงจะไม่ทำให้นักลงทุนหมดตัวและเมื่อเป็นขาขึ้นจะกลับมาได้เร็วกว่าครับ
ประเด็นที่ทำให้ค่า pb สูงมากๆ ส่วนใหญ่มักเกิดจากค่า b หรือมูลค่าหุ้นทางบัญชี ซึ่งเป็นตัวหาร มีค่าน้อยกว่าปกติ ซึ่งเกิดขึ้นได้ดังนี้
1.การจ่ายปันผลมาก b จะลด p/b จะสูงขึ้น
2.ธุรกิจที่เริ่มฟื้นตัวจากภาวะขาดทุนยาวนาน b จะลดลงไปมาก พอมีกำไรจะเห็นได้ว่า roe สูงมาก เพราะฐานทุนหรือ b ต่ำ เช่นหุ้นวัฏจักรทั้งหลาย
3.การลดทุน หรือทำให้ส่วนทุนลด ทำให้ b ลดลงด้วย
4.การใช้นโยบายทางบัญชีที่ต่างกัน ทำให้เกิดการด้อยค่า การมีส่วนเกินราคาสินทรัพย์ เช่นในกรณี scc เปลี่ยนนโยบายมาบันทุกสินทรัพย์ราคาทุน ทำให้ b ลดลง ทำให้ p/b สูงขึ้น
1.การจ่ายปันผลมาก b จะลด p/b จะสูงขึ้น
2.ธุรกิจที่เริ่มฟื้นตัวจากภาวะขาดทุนยาวนาน b จะลดลงไปมาก พอมีกำไรจะเห็นได้ว่า roe สูงมาก เพราะฐานทุนหรือ b ต่ำ เช่นหุ้นวัฏจักรทั้งหลาย
3.การลดทุน หรือทำให้ส่วนทุนลด ทำให้ b ลดลงด้วย
4.การใช้นโยบายทางบัญชีที่ต่างกัน ทำให้เกิดการด้อยค่า การมีส่วนเกินราคาสินทรัพย์ เช่นในกรณี scc เปลี่ยนนโยบายมาบันทุกสินทรัพย์ราคาทุน ทำให้ b ลดลง ทำให้ p/b สูงขึ้น
------------------------------------------------------------------------------
การวิเคราะห์ผู้บริหาร
ควรดูจากการกระทำในอดีตที่ผ่านมาเป็นหลัก ปีที่แล้วพูดไว้ว่าอย่างไร ปีนี้สิ่งที่เกิดขึ้นใกล้เคียงกับที่พูดไว้หรือไม่ ถ้าห่างไกลสักครั้งสองครั้งยังพอรับได้ แต่ถ้าห่างไกลความจริงทุกครั้งคงต้องคิดแล้วล่ะ เคยมีพฤติกรรมตีหัวเข้าบ้านมาก่อนหรือไม่ เช่น หุ้นต่ำจองมากๆ เพิ่มทุนไม่รู้จักจบสิ้น เป็นต้น
คนที่ตลอดมาไม่เคยมีประวัติด่างเป็นสิบปี ย่อมน่าเชื่อถือมากกว่า เพราะคนที่มี reputation ที่ดีอยู่แล้ว ย่อมไม่คุ้มที่จะหลอกลวงนักลงทุน ต่างกับคนที่ด่างพลอยเสียจนไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ตรงนี้หุ้นที่พึ่งเข้ามาใหม่ก็คงเสียเปรียบหน่อยเพราะยังไม่ได้สร้างประวัติให้ตรวจสอบ
คนที่ตลอดมาไม่เคยมีประวัติด่างเป็นสิบปี ย่อมน่าเชื่อถือมากกว่า เพราะคนที่มี reputation ที่ดีอยู่แล้ว ย่อมไม่คุ้มที่จะหลอกลวงนักลงทุน ต่างกับคนที่ด่างพลอยเสียจนไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ตรงนี้หุ้นที่พึ่งเข้ามาใหม่ก็คงเสียเปรียบหน่อยเพราะยังไม่ได้สร้างประวัติให้ตรวจสอบ
-ดูการทำงานเพื่อสังคม เป็นสมาชิกหรือชมรม หรือเป็นประธานหรือกรรมการมูลนิธิ มีหน้าที่ตำเเหน่งทางสังคมอะไร หรือเปล่า เเละอื่นๆ
-ดุประวัติทั้งบุคคลเเละครอบครัวของเขา
-อันอื่นต้องดูนานๆครับ ติดตามเรื่อยๆ
-ดุประวัติทั้งบุคคลเเละครอบครัวของเขา
-อันอื่นต้องดูนานๆครับ ติดตามเรื่อยๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น