วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การแตกพาร์ของหุ้น 
-เพิ่มความคล่องให้หุ้น 
-ผู้ถือหุ้นเท่าเดิม  ก็มีหุ้นเพิ่มขึ้น 
-เงินปันผลก็เหมือนเดิม  แตกมูลค่าตามกันไปตามผลประกอบการ และการจ่ายปันผล 

------------------------------------------------------------------------------
Mark to market 
จริงๆ แล้ว หมายถึงการปรับมูลค่าของหุ้น พอร์ท หรือพันธบัตรที่เรามี ให้เท่ากับราคาตลาด 
สำหรับพันธบัตร เมื่ออัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงขึ้น ความน่าสนใจของ
  การซื้อพันธบัตรจะลดลง ราคาตลาดของพันธบัตรจะลดลงด้วย
------------------------------------------------------------------------------
ข้อยกเว้นอะไรบ้างครับ
ที่หุ้นสามารถลงต่ำกว่า Floor (30%) หรือสามารถขึ้นทะลุ Ceiling (30%) 
1.IPO
2.หุ้นต่ำบาทขึ้นได้เกิน 30% แต่ไม่เกินสองเท่า
ราคาของหุ้นสามัญที่ราคาต่ำกว่า 1 บาท จะไม่ได้คำณวนจาก 30% ของราคาปิดเมื่อวาน 
Ceiling จะคิดเป็น 2 เท่าของราคาปิดเมื่อวาน ในขณะที่ราคาของ floor จะต่ำสุดที่ 0.01
-------------------------------------------------------------------------------
มีหุ้นตัวหนึ่ง มีค่า PB สูงเกินครึ่งหนึ่งของ PE เสียอีก มันบ่งบอกว่าอะไรครับ 
แสดงว่าหุ้นตัวนั้นจะต้องมี roe สูงมากครับ  ซึ่งหลักๆ มี 2  เหตุผลสำคัญคือ 

1  เป็นหุ้นที่มีสินทรัพย์ไม่มีตัวตนสูง เช่น  brand  หรือสินทรัพย์ทางปัญญา  ซึ่งจะไม่แสดงในงบดุล   และบริษัทเหล่านี้มักจะมี profit margin ที่สูง   ดังนั้นหุ้นเหล่านี้มักจะมี roe และ p/bv สูง 

2  เป็นหุ้นวัฎจักรตอนใกล้ๆ จุดสูงสุดของ cycle ครับ   ลักษณะคือ p/e ต่ำมาก  ปันผลสูงมาก  แต่ p/bv จะสูงมากเช่นกัน  ยกตัวอย่างเช่น ATC  หุ้นเรือ  ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมากครับ   หรือเป็นหุ้นที่มีผลการดำเนินงานไม่แน่นอน  ประเภทกำไรปีขาดทุนปี 

หุ้นประเภท 2 คือหุ้นวัฎจักร  จะแบ่งได้เป็น 2 ประเภท 

1  Commodity Cyclical   หุ้นประเภทนี้คือพวกที่สินค้าหน้าตาเหมือนกันเลย  คือ  น้ำมัน  ปิโตรเคมี  ถ่านหิน  เหล็ก  เรือ ฯลฯ   พวกนี้ยังไงก็ไม่น่าจะมี brand ครับ  โอกาสเป็นหุ้นประเภท 1 ด้วยคงไม่มี 

2  Economic Cyclical  หุ้นพวกนี้เป็นหุ้นวัฎจักร  แต่ขึ้นลงตามวัฎจักรเศรษฐกิจเป็นสำคัญ  หุ้นพวกนี้ได้แก่  อสังหาฯ   วัสดุก่อสร้าง   ยานยนต์   ฯลฯ   ดังนั้นโอกาสที่เป็นประเภท 1 และ 2 พร้อมกันก็เกิดขึ้นได้หากหุ้นเหล่านี้มี brand  ตัวหนึ่งที่ผมนึกออกคือ  LH  ซึ่งในช่วงเศรษฐกิจดีกลุ่มอสังหาฯ ก็จะมี roe สูง    และเศรษฐกิจไม่ดี roe ก็จะต่ำ   แต่อย่างไรก็ตามการที LH มี brand ที่เป็นที่นิยมสูงก็จะทำให้ roe หรือ net margin  ของ LH จะสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม     

Lh ก็เป็นหุ้นที่มีลักษณะ 1 และ 2  ปนกัน  คือเป็นวัฎจักรที่มี brand  ดังนั้น  หุ้น LH หากถือยาวๆ  ก็จะเจอกับ cycle ขึ้นลงแรงๆ  แต่ในระยะยาวๆ หุ้น LH ก็จะปลอดภัยกว่าหุ้นวัฎจักรโดยทั่วๆ ไปคือแม้ว่าขาลงก็คงจะไม่ทำให้นักลงทุนหมดตัวและเมื่อเป็นขาขึ้นจะกลับมาได้เร็วกว่าครับ

ประเด็นที่ทำให้ค่า pb สูงมากๆ ส่วนใหญ่มักเกิดจากค่า b หรือมูลค่าหุ้นทางบัญชี ซึ่งเป็นตัวหาร มีค่าน้อยกว่าปกติ ซึ่งเกิดขึ้นได้ดังนี้ 

1.การจ่ายปันผลมาก b จะลด  p/b จะสูงขึ้น
2.ธุรกิจที่เริ่มฟื้นตัวจากภาวะขาดทุนยาวนาน  b จะลดลงไปมาก พอมีกำไรจะเห็นได้ว่า roe สูงมาก เพราะฐานทุนหรือ b ต่ำ เช่นหุ้นวัฏจักรทั้งหลาย 
3.การลดทุน หรือทำให้ส่วนทุนลด ทำให้ b ลดลงด้วย 
4.การใช้นโยบายทางบัญชีที่ต่างกัน ทำให้เกิดการด้อยค่า การมีส่วนเกินราคาสินทรัพย์ เช่นในกรณี scc เปลี่ยนนโยบายมาบันทุกสินทรัพย์ราคาทุน ทำให้ b ลดลง ทำให้ p/b สูงขึ้น

------------------------------------------------------------------------------

การวิเคราะห์ผู้บริหาร

ควรดูจากการกระทำในอดีตที่ผ่านมาเป็นหลัก ปีที่แล้วพูดไว้ว่าอย่างไร ปีนี้สิ่งที่เกิดขึ้นใกล้เคียงกับที่พูดไว้หรือไม่ ถ้าห่างไกลสักครั้งสองครั้งยังพอรับได้ แต่ถ้าห่างไกลความจริงทุกครั้งคงต้องคิดแล้วล่ะ เคยมีพฤติกรรมตีหัวเข้าบ้านมาก่อนหรือไม่ เช่น หุ้นต่ำจองมากๆ เพิ่มทุนไม่รู้จักจบสิ้น เป็นต้น 

คนที่ตลอดมาไม่เคยมีประวัติด่างเป็นสิบปี ย่อมน่าเชื่อถือมากกว่า เพราะคนที่มี reputation ที่ดีอยู่แล้ว ย่อมไม่คุ้มที่จะหลอกลวงนักลงทุน ต่างกับคนที่ด่างพลอยเสียจนไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ตรงนี้หุ้นที่พึ่งเข้ามาใหม่ก็คงเสียเปรียบหน่อยเพราะยังไม่ได้สร้างประวัติให้ตรวจสอบ
-ดูการทำงานเพื่อสังคม เป็นสมาชิกหรือชมรม หรือเป็นประธานหรือกรรมการมูลนิธิ มีหน้าที่ตำเเหน่งทางสังคมอะไร หรือเปล่า เเละอื่นๆ 
   -ดุประวัติทั้งบุคคลเเละครอบครัวของเขา 
   -อันอื่นต้องดูนานๆครับ ติดตามเรื่อยๆ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น