การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว
1.การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
2.พฤติกรรมของคน
3.ลักษณะหรือคุณสมบัติของกิจการที่มีความอ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อมหรือภาวะเศรษฐกิจสูง
อุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็วที่สุด
1.อุตสาหกรรมไฮเทคทั้งหลาย
- คอมพิวเตอร์
- อินเตอร์เน็ต
- การสื่อสารโทรคมนาคม
2.ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่ทำเพื่อขาย
บริษัทขายบ้านจัดสรร เหตุผลก็คือ นี่คือธุรกิจที่ต้อง“นับหนึ่งใหม่” ทุกปีเพราะลูกค้าเดิมไม่ซื้อซ้ำ
3.ธุรกิจการเงิน
(บางทีอาจจะเกิดขึ้นจากการขยายตัวภายในหรืออาจจะมีการควบรวมกับรายอื่นทำให้สถานะและความสามารถในการแข่งขันเปลี่ยนแปลงไปในเวลาไม่นานนัก)
4.ธุรกิจไอที สื่อสาร บันเทิง สื่อ และ สิ่งพิมพ์
ถ้าจะลงทุน ต้อง “ขอส่วนลด” หรือให้ค่า PE ของหุ้นต่ำกว่าหุ้นของบริษัทที่มีสถานะใกล้เคียงกันแต่อยู่ในอุตสาหกรรมที่“มั่นคง” กว่า
-------------------------------------
อุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงช้ามาก
- อุตสาหกรรมอาหาร
(โค๊กก็ยังยิ่งใหญ่เหมือนเดิม)
(แม็คโดนัลด์เองก็เป็นอาหารที่ยิ่งใหญ่พอ ๆ กันและนับวันมันจะขยายไปทั่วโลกโดยที่ยังหาคนที่มาต่อกรได้ยาก )
- ธุรกิจค้าปลีกประเภทขายสินค้าราคาถูก
วอลมาร์ท คาร์ฟู และ เทสโก้ เหล่านี้ต่างก็เป็นผู้นำในตลาดของประเทศตนเองและตลาดโลกมาช้านานโดยที่ไม่มีความเสี่ยงที่จะมีคู่แข่งมาทำลายตำแหน่งของตนเองได้
สองอุตสาหกรรมต่างก็เป็นธุรกิจ “โลว์เทค” ที่มีการใช้เทคโนโลยีน้อยมาก
- พลังงาน
--------------------------------------
PE สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตประมาณ 30-40%
1.VI พันธุ์แท้
- ไม่สนใจตลาด
- พบว่ามีหุ้นที่ยังมีราคาถูกกว่ามูลค่าพื้นฐานมาก มี Margin Of Safety หรือส่วนต่างของความปลอดภัยสูง เราก็จะซื้อ”
PE ต่ำ + PB ต่ำด้วย แต่ ถดถอยลงเนื่องจากปัจจัยทางด้านคุณภาพ
- อยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังตกต่ำล
- หุ้นวัฏจักรที่กำลังเข้าสู่วัฎจักรขาลง
ยามที่ตลาดหุ้นบูม
เราจะต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษว่า หุ้นที่เราเห็นว่ามีราคาถูกโดยดูจากตัวเลขเช่น ค่า PE นั้น อาจจะเป็น “กับดัก” ที่ทำให้เรา “ติด” ได้ เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องคิดว่า ถ้ามันหาง่ายอย่างนั้น คนก็คงจะเจอแล้วก็ซื้อมันและทำให้ราคามันขึ้นไปก่อนหน้านี้แล้ว คงไม่ปล่อยให้มันมี PE ต่ำมากอยู่อย่างนั้นโดยเฉพาะในยามที่มี “VI” อยู่เต็มตลาดหุ้น
ยามที่หุ้นในตลาดปรับตัวขึ้นมาก เราควรจะ Switch หรือเปลี่ยนตัวหุ้น จากหุ้นที่เราได้กำไรมากหรือหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นไปมากและราคาหุ้นเริ่มแพงแล้ว แล้วเอาเงินไปซื้อหุ้นที่ยังเป็น “Laggard” หรือหุ้นที่ยังไม่ค่อยได้ขึ้นไปเท่าไรและราคาอาจจะยังถูกเมื่อเทียบกับหุ้นอื่น ๆ ในตลาด แนวความคิดนี้อาจจะดูเหมือนว่าไม่ใช่แนว VI เพราะอาจจะไม่ได้วิเคราะห์ว่าหุ้นนั้นมี Margin Of Safety มากน้อยแค่ไหน แต่ไปดูจากการเปรียบเทียบว่าหุ้นตัวไหนราคาถูกกว่าอีกตัวหนึ่งแทนที่จะดูว่าตัวมันเองคุ้มค่าหรือไม่กับพื้นฐานของมัน อย่างไรก็ตาม VI ที่มองในแนวนี้ก็อาจจะบอกว่า หุ้นตัวใหม่ที่เขาจะซื้อนั้น จะต้องเข้าข่ายว่าเป็นหุ้น “VI” ด้วย นั่นก็คือ เขาอาจจะกำลังบอกว่า เขา Switch จากหุ้น VI ที่แพง ไปสู่หุ้น VI ที่ถูกกว่า มี Margin Of Safety สูงกว่า
การ Switch หุ้นในยามที่ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นและหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นตามดัชนีตลาดนั้น อาจจะไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีนัก เหตุผลก็คือ ในยามที่ตลาดหุ้นคึกคัก หุ้นที่จะ “ถูกละเลย” นั้นน่าจะมีน้อย การที่หุ้นตัวหนึ่งวิ่งได้ดีหรือมากกว่าหุ้นอีกตัวหนึ่งนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าหุ้นตัวแรกมีพื้นฐานหรือคุณสมบัติดีกว่าหุ้นตัวที่สอง การวิเคราะห์เดิมของเราอาจจะผิดพลาด ที่สำคัญ มูลค่าของหุ้นตัวแรกอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปในขณะที่หุ้นตัวที่สองนั้นมูลค่าของกิจการไม่ได้เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด การ Switch นั้นอาจจะมีโอกาส “ชนะ” ไม่มากและอาจจะไม่คุ้มกับค่าคอมมิชชั่นและส่วนต่างราคาซื้อขายที่เราจะต้องเสีย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ มันอาจจะทำให้เราต้องเสียหุ้นที่ดีและได้หุ้นที่เลวกว่ามาแทนในทำนอง “ขายหมูแล้วไปซื้อควายมา” อย่างที่พูดกันในหมู่ VI
ข้อดีที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือถ้าเกิดวิกฤติหรือตลาดหุ้นตกลงมารุนแรงและทำให้หุ้น VI ที่เราสนใจมีราคาลดลงมาก เราก็จะได้ซื้อหุ้นถูกและทำให้ผลตอบแทนในอนาคตสูงขึ้น แต่เหตุการณ์นั้นจะมีโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหนเราก็ไม่รู้ หลายคนอาจจะบอกว่าเหตุการณ์ในยุโรปนั้นน่ากลัวมากน่าจะมีโอกาสสูงที่ยุโรปจะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจรุนแรงและนั่นน่าจะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดหุ้นไทยตกลงมารุนแรงได้ ประเด็นนี้ผมเองไม่อยากที่จะให้ความเห็น แต่ประสบการณ์ก็คือ วิกฤติมักจะเกิดขึ้นตอนที่ไม่มีใครคาดคิด
ทำอย่างไรในสถานการณ์หุ้นแพง คำตอบก็คือ ผมแทบจะไม่ทำอะไร โดยเฉพาะในยามที่หุ้นยังไม่ได้เป็น “ฟองสบู่” ประเด็นต่อมาก็คือ ผมทำอะไรกับเงินสดที่อาจจะได้มาจากปันผลหรือจากแหล่งอื่น คำตอบก็คือ ผมก็อาจจะถือเป็นเงินสดไว้ หรือไม่ก็ลงทุนในหุ้นที่มั่นคงมากในแง่ผลประกอบการที่ยังให้ผลตอบแทนปันผลพอสมควร อาจจะ 4-5% เทียบกับเงินฝากที่ 1-2% ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้ผมมักจะเรียกว่า “หุ้นพันธบัตร” ซึ่งหลายตัวเป็นผู้ให้บริการสาธารณูปโภคที่มีรายได้และกำไรค่อนข้างแน่นอนและมีการเติบโตบ้างแต่ราคาไม่แพงเท่าไรนัก