วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ควบรวมกิจการ “Take Over”
             การเทคโอเวอร์นั้น  สามารถนำมาซึ่งการ เติบโต ของบริษัทอย่างรวดเร็ว การเติบโตจะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด  กำไรที่จะเพิ่มขึ้นจะผลักดันให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นตามผลกำไรที่จะเพิ่มขึ้น   มักใช้โอกาสที่ตลาดเอื้ออำนวย  ทำการเทคโอเวอร์อย่าง Aggressive  หรือเทคโอเวอร์อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง  ซึ่งหลายครั้งสามารถทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปอย่างโดดเด่นโดยที่ธุรกิจหรือบริษัทที่ดำเนินการอยู่นั้น  ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรนัก
            ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาโดยเฉพาะจากตลาดในอเมริกาพบว่า  การเทคโอเวอร์ส่วนใหญ่นั้น  ได้ผลตรงกันข้ามและภายหลังต้องขายกิจการที่เทคมาทิ้งพร้อมกับการขาดทุนอย่างยับเยิน  ในตลาดหุ้นไทยนั้น  กรณียังไม่ชัดเนื่องจากมีกรณีไม่มาก  อย่างไรก็ตาม  ราคาหุ้นที่ขึ้นไปก่อนหลังจากมีการเทคโอเวอร์นั้น
---------------------------------------------------------------
ข้อคิดดี ๆ  ที่เป็น  สุดยอด ของบัฟเฟตต์
1.กฎข้อที่หนึ่งก็คือ  อย่าขาดทุน
กฎข้อที่สองก็คือ  ให้กลับไปดูกฎข้อที่หนึ่ง
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการลงทุนก็คือ คุณต้องพยายามอย่าให้ขาดทุน
เขาดูความเสี่ยงที่เป็น Down Side หรือขาลง  มากกว่าโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงในด้านขาขึ้น
2.เป็นเรื่องที่ดีกว่าที่เราจะซื้อธุรกิจที่ดีสุดยอดในราคาปานกลาง  แทนที่จะซื้อธุรกิจปานกลางในราคาที่ดีสุดยอด”  บัฟเฟตต์นั้นไม่เน้นซื้อของถูกหรือซื้อได้ในราคาที่  ดีสุดยอด”  เขาคิดว่าธุรกิจที่ดีสุดยอดนั้น  ในระยะยาวแล้วมูลค่าของกิจการก็จะเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ  ดังนั้น  ถ้าเราสามารถซื้อได้ในราคาที่เหมาะสม  ไม่แพง  ราคาหุ้นก็จะปรับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ตามผลประกอบการของมัน ยิ่งถือนานก็ยิ่งดี 
3.เวลาเป็นเพื่อนของธุรกิจที่มหัศจรรย์  แต่เป็นศัตรูของธุรกิจพื้น ๆ” เราถือหุ้นของ ธุรกิจมหัศจรรย์  หรือธุรกิจที่ดีสุดยอด  คุณจะอยากถือไว้นานที่สุด  ให้เวลากับการลงทุน  เพราะยิ่งเวลาผ่านไป  กำไรของบริษัทก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ  ส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ในอัตราที่สูงต่อเนื่อง  ตรงกันข้าม  ธุรกิจพื้น ๆ  นั้น  ในบางช่วงเช่นช่วงแรก ๆ  ราคาอาจจะปรับตัวขึ้นด้วยสาเหตุอะไรบางอย่างซึ่งอาจจะรวมถึงการที่มีคนเห็นว่ามันเป็นหุ้นที่ถูกและเข้ามาซื้อทำให้หุ้นปรับตัวขึ้น  แต่เมื่อถือหุ้นนานขึ้นเรื่อย ๆ  แต่กำไรของบริษัทและราคาหุ้นกลับไม่ปรับตัวขึ้น  ผลก็คือ  เมื่อเวลาผ่านไป  ผลตอบแทนต่อปีก็จะลดลงเรื่อย ๆ  ยิ่งถือนานก็ยิ่งแย่
4.แนวทางของเราก็คือ  กำไรจากการไม่มีการเปลี่ยนแปลงแทนที่จะเปลี่ยนแปลง  อย่างหมากฝรั่ง Wrigley   มันเป็นเรื่องของการไม่เปลี่ยนแปลงที่ดึงดูดใจผม  ผมไม่คิดว่ามันจะถูกเปลี่ยนโดยอินเตอร์เน็ต  นั่นคือธุรกิจที่ผมชอบ” 
5.สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับเราก็คือ  บริษัทที่ยิ่งใหญ่  ประสบกับปัญหาชั่วคราว  เราต้องการซื้อมันเมื่อมันอยู่บนโต๊ะผ่าตัด  นี่เป็น โอกาสทอง  ที่บัฟเฟตต์แสวงหาตลอดมา  จากอดีตจะเห็นว่าเขาเคยทำเงินมหาศาลอย่างรวดเร็วจากการซื้อหุ้นของกิจการที่ดีสุดยอดแต่ประสบปัญหาชั่วคราวที่สามารถแก้ไขได้ 
หุ้นของอเมริกันเอ็กซเพรส



-------------------------------------------------------------------------------
การเปลี่ยนแปลงในพื้นฐานที่สำคัญของกิจการ
1.บริษัทขนาดเล็กและโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่มีปัญหาหรือเคยมีปัญหาในการดำเนินงานและกำลัง “ฟื้นฟู” กิจการโดยผู้ถือหุ้นและผู้บริหารกลุ่มใหม่  การที่เป็นบริษัทขนาดเล็กทำให้การเปลี่ยนแปลงแบบ “พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ” นั้นทำได้ง่าย  วิธีการก็คือทำการเพิ่มทุนโดยผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่  แล้วก็ประกาศเปลี่ยนธุรกิจ  จากธุรกิจเดิมเป็นธุรกิจที่ “มีโอกาส” ทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว
2.การเปลี่ยนแปลง “พื้นฐาน” ของกิจการเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ของบริษัทอย่างสิ้นเชิงนั้น  ถ้าว่ากันตามทฤษฎีแล้ว  ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะประสบความสำเร็จ  จริงอยู่  ในระยะยาวบริษัทก็อาจจะมีกำไรและทำให้บริษัทที่เคยมีปัญหาฟื้นตัวได้  แต่ถ้าหากกำไรที่ทำได้นั้น  เป็น “กำไรปกติ”  หรือเป็นกำไรที่เหมาะสมกับ “เงินลงทุน” ที่ใส่เข้าไปในบริษัท  ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอาจจะเท่ากับ 10% ต่อปีในระยะยาว  ถ้าเป็นแบบนี้  มูลค่าพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัทก็ไม่น่าจะเพิ่มขึ้น  ดังนั้น  ราคาหุ้นก็ไม่น่าจะเพิ่มขึ้น—ในระยะยาว
 ในระยะสั้น  ราคาหุ้นนั้นย่อมขึ้นอยู่กับ “ความเชื่อ”  ของนักเล่นหุ้นหรือนักลงทุน
 กลุ่มที่มีการเปลี่ยนแปลงในพื้นฐานของกิจการที่เป็นบริษัทใหญ่ขึ้นมาและไม่มีปัญหาการดำเนินงานนั้น  น่าจะเป็นกิจการที่มีการเปลี่ยนแปลงในวิธีหรือกลยุทธ์สำคัญในการทำธุรกิจ  ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการเทคโอเวอร์กิจการที่เป็นคู่แข่ง และ/หรือ เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมของตน  และในกระบวนการนั้น  ทำให้เกิดความได้เปรียบเนื่องจากขนาดหรือทำให้เกิดความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ในสายตาของลูกค้า  ส่งผลให้ผลประกอบการดีขึ้นชัดเจนเมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่บริษัทจ่ายไป  ลักษณะนี้จะทำให้กำไรต่อหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงและส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นรับกับ  “พื้นฐานใหม่”  คนที่เข้าไปซื้อหุ้นไว้ก่อนในราคาต่ำก็จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ  และก็เช่นเดียวกัน  ราคาหุ้นอาจจะปรับตัวขึ้นไปทันทีเพียงเพราะว่านักเล่นหุ้นหรือนักลงทุนเชื่อว่าสิ่งที่บริษัททำนั้นจะเป็นจริง  อย่างไรก็ตาม  ในระยะยาวแล้ว  ผลประกอบการที่ประกาศออกมาจะเป็นตัวกำหนดว่าพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น  ดีขึ้นหรือเลวลง  และราคาหุ้นจะสะท้อนพื้นฐานนั้น
3.การเล่นหุ้นที่กำลังมีการ “เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ” นั้น  เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ  บ่อยครั้งเราไม่จำเป็นต้องคาดถูกหรือคาดผิดด้วยซ้ำ  เราเพียงแต่คาดถูกต้องว่า  “คนอื่นเชื่ออย่างไร” เพราะราคาหุ้นในระยะสั้นนั้นอยู่ที่ความเชื่อไม่ใช่ความจริง   ผลตอบแทนของการคาดการณ์ถูกต้องนั้นสูงมาก  เช่นเดียวกัน  ผลตอบแทนจากการคาดผิดก็เลวร้ายได้ไม่แพ้กัน  อย่างไรก็ตาม  คนที่เล่นเกมนี้ต้องเข้าใจว่ามีบางคนที่ได้เปรียบกว่าคนอื่น  อย่างน้อย “สปอนเซอร์”  ก็รู้ดีกว่าคนนอก  ผู้เล่นรายใหญ่ที่มีพลังการซื้อและการชี้นำสูงก็อาจจะได้เปรียบรายย่อยที่เป็นฝ่ายรับข้อมูลมากกว่า
4.กลับมาในกลุ่มของคนที่หากินกับการ  “ไม่เปลี่ยนแปลง”  นี่คือยุทธศาสตร์การลงทุนที่ “น่าเบื่อ”  เพราะโดยตัวธุรกิจเองนั้น  ธุรกิจที่บริษัททำอยู่นั้นมักเป็นธุรกิจที่ไม่ใคร่มีความคิดสร้างสรรค์มากมายนัก  เป็นธุรกิจที่เรียกว่า  “รูทีน”  ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นมานานส่วนใหญ่อาจจะนับสิบ ๆ  ปี   หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่ที่เข้าข่ายก็มักจะเป็นกิจการที่ “แข็งแกร่ง” หรือ “ยิ่งใหญ่”  ทั้งในด้านการตลาดและการเงินเมื่อเทียบกับคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน  ผลประกอบการนั้นมักจะคาดการณ์ได้แต่การเติบโตขึ้นเป็นหลายสิบหรือร้อย ๆ  เปอร์เซ็นต์ในระยะเวลาสั้น ๆ  ก็เป็นไปไม่ได้  ตัวหุ้นเองก็มักจะไม่ปรับตัวขึ้นหรือลงหวือหวา  ดังนั้น  ถ้าคนชอบที่จะมีชีวิตการลงทุนที่มั่นคงพอสมควรและไม่ต้องการความกังวลใจกับการลงทุนตลอดเวลา  นี่ก็เป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจและในระยะยาวแล้ว  ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยก็อาจจะไม่แพ้การลงทุนที่เน้นการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจสำหรับนักลงทุนที่มีศักยภาพพอ ๆ กัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น