ตามรอยบัฟเฟตต์
1.ข้อแรก การลงทุนของบัฟเฟตต์ก็ยังเกาะติดอยู่กับธุรกิจหลัก ๆ ที่เขาทำมายาวนาน นั่นก็คือ เขาชอบลงทุนในกิจการที่มีการเปลี่ยนแปลงช้า ๆ เป็นกิจการที่เทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่สามารถทำลายมันได้ง่าย ๆ ช่น อาหารการกินซึ่งถึงยังไงคนก็ยังต้องกินและต้องการกินอาหารที่อร่อยมียี่ห้อระดับโลก ตัวอย่างของหุ้นก็เช่น บริษัทคราฟท์ฟูด กลุ่มต่อมาก็คือกลุ่มของใช้ประจำวันเช่นสบู่ ยาสีฟัน แชมพูสระผม และเครื่องประทินผิว ที่ไม่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์อะไรนักยกเว้นการโฆษณาและการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างของหุ้นก็เช่น หุ้นของพร็อกเตอร์แอนด์แกมเบิลและหุ้นจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และกลุ่มสุดท้ายก็คือ หุ้นของบริษัทค้าปลีกที่บัฟเฟตต์เพิ่งจะลงทุนไม่นานมากนักทั้ง ๆ ที่มันน่าจะเป็นหุ้นที่อยู่ในเกณฑ์ที่เขาสนใจลงทุน แต่เขาอาจจะเคยเกี่ยงว่ามันเป็นหุ้นที่ “ไม่เคยถูก” ตัวอย่างเช่นหุ้นของวอลมาร์ท เป็นต้น
2.หุ้นกลุ่มที่บัฟเฟตต์ลงทุนมากที่สุดกลุ่มหนึ่งตั้งแต่อดีตและก็ยังลงทุนอยู่เรื่อย ๆ เมื่อมีโอกาสก็คือ หุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นของบริษัทประกันภัยและธนาคารพาณิชย์และบริษัทหลักทรัพย์ นี่คือหุ้นที่บัฟเฟตต์ลงทุนมาตลอดขณะที่ VI เมืองไทย รวมถึงตัวผมเองไม่ใคร่สนใจลงทุนเลยทั้ง ๆ ที่บางครั้งก็ดูเหมือนกับว่าเป็นหุ้นที่ “ไม่แพง” และหลาย ๆ ครั้งอาจจะเป็นหุ้น “VI” ได้ ตัวอย่างหุ้นการเงินที่บัฟเฟตต์ลงทุนเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็เช่นหุ้นของแบงค์อเมริกาและบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำอีกหลายแห่งที่ประสบกับปัญหาทางการเงินอันเนื่องมาจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ทำให้ราคาหุ้นตกลงมาต่ำมาก อย่างไรก็ตาม หุ้นหรือตราสารการเงินเหล่านี้บัฟเฟตต์มักจะลงทุนในเวลาสั้น ๆ อาจจะเพียง 2-3 ปีก็จะถอนออก ยกเว้นหุ้นสถาบันการเงินที่เน้นรายย่อยหรือเน้นลูกค้ามากรายที่สามารถกระจายความเสี่ยงได้ดี เช่นหุ้นประกันภัย หุ้นอเมริกันเอ็กเพรส และหุ้นแบงค์ที่บริหารได้ดีอย่างเวลฟาร์โก้เท่านั้นที่เขาจะถือหุ้นยาวนาน
3.หุ้นไฮเท็คนั้น บัฟเฟตต์ยังคงหลีกเลี่ยงเป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตที่เขามองว่ามีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ดังนั้น เขาก็ยังไม่ซื้อหุ้นทั้งแอปเปิล กูเกิล ไมโครซอฟท์ หรือ เฟซบุค อย่างไรก็ตาม เขาได้เข้าซื้อหุ้นของไอบีเอ็ม จำนวนมากเมื่อเร็ว ๆ นี้ เหตุผลก็คือ ไอบีเอ็มในตอนหลังได้ปรับตัวเองกลายเป็น “ผู้ให้บริการ” เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และการจัดการข้อมูลแก่บริษัทต่าง ๆ เช่น ไอบีเอ็มจะเข้าไปทำหน้าที่คล้าย ๆ “แผนกคอมพิวเตอร์และการจัดการข้อมูล” ของธนาคารต่าง ๆ ทำให้ไอบีเอ็มมีรายได้ที่แน่นอน ในขณะที่แบงค์ก็ประหยัดรายจ่ายที่ไม่ต้องทำระบบต่าง ๆ เช่นระบบสำรองและการดูแลให้คอมพิวเตอร์ให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลาเป็นต้น นอกจากนั้น บัฟเฟตต์เองดูเหมือนว่าจะลงทุนในหุ้น “ไฮเท็ค” ประเภทที่เป็นผู้ผลิตที่เป็นผู้นำที่โดดเด่นที่คู่แข่งตามได้ยาก ตัวอย่างเช่น หุ้นอินเทล หุ้นของบริษัทผลิตเครื่องมือของอิสราเอล หุ้นบริษัทผลิตยาซาโนฟี เหล่านี้เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หุ้นไฮเท็คเหล่านี้ บัฟเฟตต์ซื้อในปริมาณไม่มากนัก
4.หุ้นกลุ่มที่บัฟเฟตต์ลงทุนค่อนข้างมากเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็คือ หุ้นที่เกี่ยวกับพลังงานและการขนส่ง นี่เป็นกลุ่มที่ในอดีตบัฟเฟตต์แทบไม่สนใจเลยเพราะภาพที่ออกมาดูเหมือนว่าจะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่บัฟเฟตต์ไม่ชอบ หุ้นในกลุ่มนี้ที่บัฟเฟตต์ลงทุนไปมากที่สุดตัวหนึ่งก็คือ หุ้นของบริษัทรถไฟในอเมริกาซึ่งบัฟเฟตต์มองว่าจะเริ่มได้เปรียบเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นมาก นอกจากนี้ บัฟเฟตต์ได้เข้าไปซื้อหุ้นบริษัทน้ำมันหลายบริษัทรวมถึงปิโตรไชน่าของจีน อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เป็นโภคภัณฑ์ล้วน ๆ เช่นน้ำมันนั้น ก็ดูเหมือนว่าบัฟเฟตต์อาจจะเข้ามาซื้อขายแบบเก็งกำไรมากกว่าจะเป็นการถือยาว
5.หุ้น “ตะวันตกดิน” หรือหุ้นที่ดูเหมือนว่าจะไม่โตเท่าไรนักแต่บริษัทเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและมีเงินสดเหลือเฟือนั้น ถ้าดูกันจริง ๆ เป็นหุ้นที่บัฟเฟตต์ลงทุนอยู่เหมือนกันในอดีต นี่อาจจะเรียกว่าหุ้นแนวก้นบุหรี่หรือแนวของเกรแฮม บัฟเฟตต์ห่างเหินจากหุ้นแนวนี้มานาน อาจจะตั้งแต่หุ้นเบอร์กไชร์และหุ้นประเภทขายรองเท้าหรือทำเฟอร์นิเจอร์ แต่ที่น่าแปลกก็คือ บัฟเฟตต์เองก็เพิ่งไปซื้อกิจการหนังสือพิมพ์ที่ดูเหมือนว่ากิจการกำลังตกลงมาอย่างช้า ๆ แต่แน่นอน เนื่องจากการเข้ามาของสื่อทางอินเตอร์เน็ตทั้งหลาย เขาคงมองว่า ยังไงซะ Content หรือเนื้อหาที่เป็นข่าวสารก็ยังมีค่า และถึงวันหนึ่ง ผู้ผลิตข่าวสารก็อาจจะไม่ยอมให้คนอื่นเอาข่าวไปใช้แบบฟรี ๆ ในอินเตอร์เน็ต
6.สิ่งที่เปลี่ยนไปค่อนข้างชัดเจนก็คือ บัฟเฟตต์ซึ่งในอดีตไม่ใคร่สนใจลงทุนหุ้นในต่างประเทศเลยเพราะเขาอาจจะคิดว่าเขาสามารถเข้าถึงตลาดและลูกค้าต่างประเทศได้ผ่านการส่งออกของบริษัทที่เขาลงทุนในอเมริกา บัดนี้ บัฟเฟตต์ได้ออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นและน่าจะมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มต้นจากจีนที่เขาได้เดินทางไปเยี่ยมเป็นประเทศแรก ๆ ยุโรป ต่อมาเข้าใจว่ามีเกาหลี ไม่ต้องพูดถึงอิสราเอลที่เขาดูว่ามีบริษัทที่สุดยอดระดับโลกทางด้านไฮเท็คอยู่ เขาคงมองเห็นแล้วว่าโลกกำลังเปลี่ยนไป อเมริกาอาจจะยังโดดเด่นอยู่ แต่ประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศโดยเฉพาะในเอเชียนั้นโตเร็วมาก
7.บัฟเฟตต์ยังคงรักษาคุณสมบัติของการเป็นนักลงทุนที่ผมอยากเรียกว่า “กล้าและเย็นที่สุดในโลก” นั่นคือ เขาพร้อมที่จะเข้าซื้อหุ้นหรือลงทุนในกิจการที่ยอดเยี่ยมในภาวะวิกฤติที่สุดที่ราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนัก เขาเพิ่งเข้าไปซื้อหุ้นที่ “ดีที่สุด” 8-9 บริษัทในยุโรปในยามที่ยุโรปกำลังอยู่ในภาวะที่จะ “ตายหรือจะรอด” นี่ก็เหมือนกับช่วงที่เขาเข้าซื้อหุ้นจำนวนมากรวมถึงหุ้นสถาบันการเงินในอเมริกาในช่วงซับไพร์มที่ทำให้เขาได้กำไรมหาศาล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น