วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555


ตามรอยบัฟเฟตต์

1.ข้อแรก  การลงทุนของบัฟเฟตต์ก็ยังเกาะติดอยู่กับธุรกิจหลัก ๆ  ที่เขาทำมายาวนาน  นั่นก็คือ  เขาชอบลงทุนในกิจการที่มีการเปลี่ยนแปลงช้า ๆ  เป็นกิจการที่เทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่สามารถทำลายมันได้ง่าย ๆ ช่น  อาหารการกินซึ่งถึงยังไงคนก็ยังต้องกินและต้องการกินอาหารที่อร่อยมียี่ห้อระดับโลก ตัวอย่างของหุ้นก็เช่น  บริษัทคราฟท์ฟูด  กลุ่มต่อมาก็คือกลุ่มของใช้ประจำวันเช่นสบู่ ยาสีฟัน  แชมพูสระผม  และเครื่องประทินผิว  ที่ไม่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์อะไรนักยกเว้นการโฆษณาและการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง  ตัวอย่างของหุ้นก็เช่น  หุ้นของพร็อกเตอร์แอนด์แกมเบิลและหุ้นจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน  และกลุ่มสุดท้ายก็คือ  หุ้นของบริษัทค้าปลีกที่บัฟเฟตต์เพิ่งจะลงทุนไม่นานมากนักทั้ง ๆ  ที่มันน่าจะเป็นหุ้นที่อยู่ในเกณฑ์ที่เขาสนใจลงทุน  แต่เขาอาจจะเคยเกี่ยงว่ามันเป็นหุ้นที่  ไม่เคยถูก  ตัวอย่างเช่นหุ้นของวอลมาร์ท  เป็นต้น
2.หุ้นกลุ่มที่บัฟเฟตต์ลงทุนมากที่สุดกลุ่มหนึ่งตั้งแต่อดีตและก็ยังลงทุนอยู่เรื่อย ๆ เมื่อมีโอกาสก็คือ  หุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นของบริษัทประกันภัยและธนาคารพาณิชย์และบริษัทหลักทรัพย์   นี่คือหุ้นที่บัฟเฟตต์ลงทุนมาตลอดขณะที่ VI เมืองไทย  รวมถึงตัวผมเองไม่ใคร่สนใจลงทุนเลยทั้ง ๆ  ที่บางครั้งก็ดูเหมือนกับว่าเป็นหุ้นที่  ไม่แพง  และหลาย ๆ ครั้งอาจจะเป็นหุ้น  “VI”  ได้  ตัวอย่างหุ้นการเงินที่บัฟเฟตต์ลงทุนเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็เช่นหุ้นของแบงค์อเมริกาและบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำอีกหลายแห่งที่ประสบกับปัญหาทางการเงินอันเนื่องมาจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ทำให้ราคาหุ้นตกลงมาต่ำมาก  อย่างไรก็ตาม  หุ้นหรือตราสารการเงินเหล่านี้บัฟเฟตต์มักจะลงทุนในเวลาสั้น ๆ  อาจจะเพียง 2-3 ปีก็จะถอนออก  ยกเว้นหุ้นสถาบันการเงินที่เน้นรายย่อยหรือเน้นลูกค้ามากรายที่สามารถกระจายความเสี่ยงได้ดี  เช่นหุ้นประกันภัย หุ้นอเมริกันเอ็กเพรส และหุ้นแบงค์ที่บริหารได้ดีอย่างเวลฟาร์โก้เท่านั้นที่เขาจะถือหุ้นยาวนาน
3.หุ้นไฮเท็คนั้น  บัฟเฟตต์ยังคงหลีกเลี่ยงเป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตที่เขามองว่ามีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก  ดังนั้น  เขาก็ยังไม่ซื้อหุ้นทั้งแอปเปิล  กูเกิล ไมโครซอฟท์ หรือ  เฟซบุค  อย่างไรก็ตาม  เขาได้เข้าซื้อหุ้นของไอบีเอ็ม จำนวนมากเมื่อเร็ว ๆ  นี้  เหตุผลก็คือ  ไอบีเอ็มในตอนหลังได้ปรับตัวเองกลายเป็น  ผู้ให้บริการ  เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และการจัดการข้อมูลแก่บริษัทต่าง ๆ  เช่น ไอบีเอ็มจะเข้าไปทำหน้าที่คล้าย  ๆ   แผนกคอมพิวเตอร์และการจัดการข้อมูล” ของธนาคารต่าง ๆ  ทำให้ไอบีเอ็มมีรายได้ที่แน่นอน  ในขณะที่แบงค์ก็ประหยัดรายจ่ายที่ไม่ต้องทำระบบต่าง ๆ เช่นระบบสำรองและการดูแลให้คอมพิวเตอร์ให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลาเป็นต้น นอกจากนั้น  บัฟเฟตต์เองดูเหมือนว่าจะลงทุนในหุ้น ไฮเท็ค ประเภทที่เป็นผู้ผลิตที่เป็นผู้นำที่โดดเด่นที่คู่แข่งตามได้ยาก  ตัวอย่างเช่น  หุ้นอินเทล  หุ้นของบริษัทผลิตเครื่องมือของอิสราเอล  หุ้นบริษัทผลิตยาซาโนฟี  เหล่านี้เป็นต้น   อย่างไรก็ตาม  หุ้นไฮเท็คเหล่านี้  บัฟเฟตต์ซื้อในปริมาณไม่มากนัก
4.หุ้นกลุ่มที่บัฟเฟตต์ลงทุนค่อนข้างมากเมื่อเร็ว ๆ  นี้ก็คือ  หุ้นที่เกี่ยวกับพลังงานและการขนส่ง  นี่เป็นกลุ่มที่ในอดีตบัฟเฟตต์แทบไม่สนใจเลยเพราะภาพที่ออกมาดูเหมือนว่าจะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่บัฟเฟตต์ไม่ชอบ  หุ้นในกลุ่มนี้ที่บัฟเฟตต์ลงทุนไปมากที่สุดตัวหนึ่งก็คือ  หุ้นของบริษัทรถไฟในอเมริกาซึ่งบัฟเฟตต์มองว่าจะเริ่มได้เปรียบเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นมาก  นอกจากนี้ บัฟเฟตต์ได้เข้าไปซื้อหุ้นบริษัทน้ำมันหลายบริษัทรวมถึงปิโตรไชน่าของจีน  อย่างไรก็ตาม  ในกรณีที่เป็นโภคภัณฑ์ล้วน ๆ  เช่นน้ำมันนั้น  ก็ดูเหมือนว่าบัฟเฟตต์อาจจะเข้ามาซื้อขายแบบเก็งกำไรมากกว่าจะเป็นการถือยาว
5.หุ้น  ตะวันตกดิน  หรือหุ้นที่ดูเหมือนว่าจะไม่โตเท่าไรนักแต่บริษัทเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและมีเงินสดเหลือเฟือนั้น   ถ้าดูกันจริง ๆ  เป็นหุ้นที่บัฟเฟตต์ลงทุนอยู่เหมือนกันในอดีต  นี่อาจจะเรียกว่าหุ้นแนวก้นบุหรี่หรือแนวของเกรแฮม  บัฟเฟตต์ห่างเหินจากหุ้นแนวนี้มานาน  อาจจะตั้งแต่หุ้นเบอร์กไชร์และหุ้นประเภทขายรองเท้าหรือทำเฟอร์นิเจอร์  แต่ที่น่าแปลกก็คือ บัฟเฟตต์เองก็เพิ่งไปซื้อกิจการหนังสือพิมพ์ที่ดูเหมือนว่ากิจการกำลังตกลงมาอย่างช้า ๆ  แต่แน่นอน  เนื่องจากการเข้ามาของสื่อทางอินเตอร์เน็ตทั้งหลาย  เขาคงมองว่า  ยังไงซะ  Content หรือเนื้อหาที่เป็นข่าวสารก็ยังมีค่า  และถึงวันหนึ่ง  ผู้ผลิตข่าวสารก็อาจจะไม่ยอมให้คนอื่นเอาข่าวไปใช้แบบฟรี ๆ  ในอินเตอร์เน็ต
6.สิ่งที่เปลี่ยนไปค่อนข้างชัดเจนก็คือ  บัฟเฟตต์ซึ่งในอดีตไม่ใคร่สนใจลงทุนหุ้นในต่างประเทศเลยเพราะเขาอาจจะคิดว่าเขาสามารถเข้าถึงตลาดและลูกค้าต่างประเทศได้ผ่านการส่งออกของบริษัทที่เขาลงทุนในอเมริกา  บัดนี้  บัฟเฟตต์ได้ออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นและน่าจะมากขึ้นเรื่อย ๆ  เริ่มต้นจากจีนที่เขาได้เดินทางไปเยี่ยมเป็นประเทศแรก ๆ   ยุโรป  ต่อมาเข้าใจว่ามีเกาหลี  ไม่ต้องพูดถึงอิสราเอลที่เขาดูว่ามีบริษัทที่สุดยอดระดับโลกทางด้านไฮเท็คอยู่  เขาคงมองเห็นแล้วว่าโลกกำลังเปลี่ยนไป  อเมริกาอาจจะยังโดดเด่นอยู่   แต่ประเทศอื่น ๆ  อีกหลายประเทศโดยเฉพาะในเอเชียนั้นโตเร็วมาก
7.บัฟเฟตต์ยังคงรักษาคุณสมบัติของการเป็นนักลงทุนที่ผมอยากเรียกว่า  กล้าและเย็นที่สุดในโลก”  นั่นคือ  เขาพร้อมที่จะเข้าซื้อหุ้นหรือลงทุนในกิจการที่ยอดเยี่ยมในภาวะวิกฤติที่สุดที่ราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนัก  เขาเพิ่งเข้าไปซื้อหุ้นที่  ดีที่สุด  8-9 บริษัทในยุโรปในยามที่ยุโรปกำลังอยู่ในภาวะที่จะ  ตายหรือจะรอด  นี่ก็เหมือนกับช่วงที่เขาเข้าซื้อหุ้นจำนวนมากรวมถึงหุ้นสถาบันการเงินในอเมริกาในช่วงซับไพร์มที่ทำให้เขาได้กำไรมหาศาล


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น