เวลาประมาณ 75-80% ของเขาหมดไปกับการอ่าน วัน ๆ หนึ่งเขาอ่านหนังสือพิมพ์ 5 ฉบับ รายงานประจำปีของบริษัทจดทะเบียน รายงานรายไตรมาศ แมกกาซีน และอื่น ๆ สารพัด เวลาที่เหลือนั้นเขาใช้ไปกับการพูดคุยโทรศัพท์ สั่งซื้อขายหุ้นหรือเงินตราต่างประเทศ แต่พวกนี้ไม่ได้ใช้เวลามาก หลังจากนั้น เขาก็กลับบ้านซึ่งก็อาจจะประมาณห้าโมงครึ่งหรือหกโมงเย็นไม่ค่อยแน่นอน ในตอนค่ำเขาก็มักจะอ่านหนังสือต่อ หรือไม่บางวันก็เล่นบริดจ์ทางอินเตอร์เน็ต
โฮวาร์ด ลูกของบัฟเฟตต์เล่าว่า บัฟเฟตต์นั้น แม้แต่เครื่องตัดหญ้าก็ใช้ไม่เป็น นอกจากนั้น เขาไม่เคยเห็นบัฟเฟตต์ล้างรถ หรือทำงานบ้านอะไรเลย ในตอนเด็กเขารู้สึกแย่แต่เมื่อโตขึ้นและรู้จักคุณค่าของเวลาแล้ว เขาถึงได้ตระหนักว่าทำไมบัฟเฟตต์จึงทำอย่างนั้น นั่นก็คือ เวลาสำหรับบัฟเฟตต์นั้นมีค่ามาก เขาไม่ยอมเสียเวลากับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
การลงทุนนั้นเป็นเรื่องของความคิดล้วน ๆ คุณภาพของการตัดสินใจเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุด
การลงทุนนั้นไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ต้องทำงาน เพียงแต่งานนั้นก็คือการเพิ่มคุณภาพของการตัดสินใจขึ้นไปเรื่อย และวิธีการเพิ่มคุณภาพก็คือการอ่าน อ่าน และอ่าน หนังสือและข้อมูลสารพัดอย่างที่ บัฟเฟตต์และมังเกอร์ทำ
-----------------------------
ขอบเขตของความรอบรู้
1.การปั่นหุ้น นี่คือวิธีทำเงินที่ได้ผลดีมากในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยเป็นกระทิง
2.การเก็งกำไร ปั่น+การวิเคราะห์ “ทางเทคนิค
3.คนพัฒนาตนเองจนมีความเชี่ยวชาญและประสบความสำเร็จในการลงทุนที่น่าประทับใจก็คือ “การเก็งกำไรกับผลประกอบการ” นี่เป็นกลยุทธ์ในสไตล์ VI ที่ทำเงินได้เร็วและได้ผลตอบแทนที่สูงมากในช่วงที่ผ่านมาเร็ว ๆ นี้ คนที่เชี่ยวชาญในการเก็งกำไรกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนนั้น แน่นอนต้องมีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์กิจการของบริษัท เขาอาจจะต้องเจาะข้อมูลลึก ๆ จากผู้บริหารรวมถึงต้องวิเคราะห์ภาวะอุตสาหกรรมและอื่น ๆ ที่สำคัญเขาจะต้องหาบริษัทที่จะมีผลกำไรเติบโตโดดเด่นมากผิดปกติไม่ใช่การเติบโตธรรมดา ๆ ปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ ก็เช่นต้องเป็นกิจการที่ไม่มีหรือไม่ใคร่มีนักวิเคราะห์สนใจด้วยเหตุที่อาจจะเป็นหุ้นเล็กเกินไปหรือเป็นกิจการที่ซบเซามานานซึ่งทำให้ราคาหุ้นค่อนข้างเหงาและอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนั้น คนที่จะประสบความสำเร็จอาจจะต้องมีความสามารถในการ “โปรโมต” หุ้นให้เป็นที่รับรู้และสนใจแก่นักลงทุนหลังจากที่ตนเองได้ซื้อหุ้นไว้แล้ว
4.“การลงทุนระยะยาวในหุ้นของกิจการที่โดดเด่น” ระยะเวลาของการลงทุนที่มักจะยาวกว่ามาก การเลือกกิจการที่ลงทุนก็จะเน้นที่กิจการที่มีความเข้มแข็งในเชิงโครงสร้างสูงกว่า พูดง่าย ๆ เน้นไปที่ DCA หรือความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนของบริษัทมากกว่าเรื่องของผลประกอบการในระยะสั้นเพียงหนึ่งหรือสองปี
5.ความเชี่ยวชาญในแง่ของ อุตสาหกรรม นี่คือความรอบรู้ในการที่จะวิเคราะห์และเข้าใจธุรกิจที่จะลงทุน เช่น คนที่เชี่ยวชาญเรื่องธุรกิจค้าปลีกก็จะรู้ว่าอะไรเป็นปัจจัยในการที่บริษัทจะทำกำไรได้ดี อะไรเป็นความเสี่ยง เขาจะสามารถคาดการณ์ถึง ยอดขาย กำไร การเติบโต และอื่น ๆ ของบริษัทได้ใกล้เคียงและสามารถนำมาใช้ในการตัดสินใจลงทุนได้
6.คนที่เชี่ยวชาญสามารถทำเงินร่ำรวยได้ก็คือ การเล่นหุ้นของกิจการที่เป็นวัฏจักร์ นี่เป็น COC ที่น่าสนใจเพราะว่ามันสามารถทำเงินได้เร็วและมากในเวลาอันสั้น นี่คือการสร้างความเชี่ยวชาญโดยเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่มีความผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ พวกเขาจะมองอุตสาหกรรมที่ตกต่ำลงโดยเฉพาะจากเหตุผลทางเศรษฐกิจและกำลังฟื้นตัวขึ้น เข้าไปซื้อหุ้นในราคาต่ำและรอขายเมื่อผลประกอบการฟื้นตัว
--------------------------------------------------------
จิตวิทยาที่บดบังความเข้าใจที่ถูกต้องของเรา
1.“ดีเป็นเพราะฝีมือเรา แย่เป็นเพราะคนอื่นหรือเรื่องอื่น” หรือที่เรียกว่า Self-Attribution Bias เช่นเดียวกัน เวลาที่เราลงทุนและได้กำไรดีนั้น เรามักจะคิดว่าเป็นฝีมือของเรา แต่เวลาขาดทุน บางครั้งเราก็คิดว่ามันเป็นสาเหตุอื่นหรือโชคร้ายหรือเหตุบังเอิญที่เราไม่อาจคาดได้ การไม่ยอมรับความผิดพลาดของตนเองนั้น ย่อมทำให้เราไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องนั้นได้
2.ใช้สำนวนว่า “ผมว่าแล้ว” นี่คือสิ่งที่คนเราเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะกลับไปอธิบายเหตุผลที่ทำให้มันเกิดขึ้นหรือที่เรียกในทางวิชาการว่า Hindsight Bias นี่เป็นความลำเอียงของจิตใจที่คิดว่าเรา “แน่” เรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรทั้งที่เราไม่รู้และเราไม่ได้คิดคาดการณ์เอาไว้ก่อน เรามา “รู้” ก็ตอนที่เราเห็นแล้วว่าอะไรมันเกิดขึ้น วิธีที่จะแก้ปัญหาความลำเอียงข้อนี้ก็คือ การจดบันทึกสิ่งที่เราคิดหรือคาดการณ์ไว้ก่อน เมื่อเกิดผลลัพธ์ขึ้น เราก็จะได้รู้ว่าเราคิดถูกหรือคิดผิด ในกรณีของการลงทุนนั้น เราจะเรียกมันว่า Investment Diary นี่ก็คือไดอารี่ที่เราจะจดบันทึกเกี่ยวกับความคิดหรือการวิเคราะห์ของเราในการลงทุนในหุ้นหรืออื่น ๆ การซื้อหุ้นแต่ละตัวเราจะบันทึกว่าอะไรคือเหตุผลที่เราซื้อหุ้นตัวนั้น
2.1 กรณีที่เราได้กำไร การลงทุนประสบความสำเร็จ และเหตุผลที่เราใช้ในการตัดสินใจลงทุนถูกต้อง
เช่น เราลงทุนในหุ้น ก. เพราะเราเชื่อว่ากำไรของบริษัทนี้กำลังเติบโตก้าวกระโดดในไตรมาศหน้าและจะเติบโตต่อไปอีกไม่น้อยกว่า 3-4 ปี โดยที่ราคาหุ้นที่เห็นนั้นยังไม่ได้ปรับตัวขึ้นสอดคล้องกับพื้นฐานที่กำลังดีขึ้นและราคายังต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมาก เราก็จดบันทึกไว้ หลังจากนั้น เมื่อกำไรในไตรมาศถูกประกาศออกมาก็เป็นจริงดังคาดและดูแล้วอนาคตก็น่าจะยังโตต่อเนื่อง ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปในระดับหนึ่งประมาณ 20% ซึ่งสอดคล้องกับกำไรที่ดีขึ้น ถ้าเป็นแบบนี้ เราอาจจะสรุปได้ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้องแล้ว อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ขายหุ้นออกไปเพราะเราเชื่อว่ากำไรจะยังเติบโตดีมากอยู่และในอนาคตราคาก็จะยังปรับตัวขึ้นไปได้อีกมาก ในภาษาของนักลงทุน เรา “Right for the right reason” เราถูกต้อง นั่นอาจจะหมายความว่าเรามีฝีมือ
2.2 แบบที่สอง ในกรณีที่เราได้กำไร การลงทุนประสบความสำเร็จ แต่เหตุผลที่เราใช้ในการตัดสินใจนั้นกลับไม่ถูกต้อง เช่น เราลงทุนในหุ้น ข. เพราะเราคิดว่ากำไรในไตรมาศหน้าจะดีมาก เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งบริษัทได้ประกาศแจกวอแร้นต์ฟรีจำนวนมาก ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปอย่างแรง เราขายหุ้นทิ้งได้กำไรงดงาม อย่างไรก็ตาม งบรายไตรมาศที่ประกาศออกมาภายหลังพบว่ากำไรของบริษัทลดลงมาก แบบนี้เราเรียกว่า “Right for the wrong reason” เราซื้อหุ้นถูกตัวด้วยเหตุผลที่ผิด พูดง่าย ๆ เราประสบความสำเร็จเพราะโชคไม่ใช่ฝีมือ อย่าหลอกตัวเองว่าตนเองเก่ง
2.3 ในกรณีที่เราขาดทุน การลงทุนไม่ประสบความสำเร็จ เหตุผลในการลงทุนของเราผิด เช่น เราคิดว่าบริษัท ค. กำลังจะมีผลประกอบการที่ดี เราซื้อหุ้นลงทุน ผลประกอบการออกมาปรากฏว่าบริษัทขาดทุนอย่างหนัก ราคาหุ้นตกต่ำลงมามาก เราขายหุ้นทิ้ง ในกรณีนี้เรียกว่าเรา “Wrong for the wrong reason” เราลงทุนผิดเพราะเราวิเคราะห์ผิด เราจำเป็นต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดนี้
2.4 ในกรณีที่เราขาดทุน การลงทุนไม่ประสบความสำเร็จ แต่เหตุผลที่เราใช้ในการตัดสินใจลงทุนนั้นถูกต้องเป็นไปตามคาด เช่น เราซื้อหุ้น ง. เพราะคิดว่ากำไรของบริษัทในไตรมาศที่กำลังมาถึงนั้นจะเติบโตขึ้น เมื่องบไตรมาศถูกประกาศออกมาปรากฏว่ากำไรของบริษัทก็ปรับเพิ่มขึ้นจริง อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาเดียวกัน ตลาดหุ้นเกิดภาวะวิกฤติอันเป็นผลมาจากต่างประเทศ ราคาหุ้น ง. ตกลงอย่างหนัก เราขาดทุนแต่เป็นเพราะว่าโชคไม่ดี ไม่ใช่เพราะเราคิดผิด เรา “Wrong for the right reason”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น