วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วิเคราะห์หุ้นจากตัวเลข
วิเคราะห์ในเชิงคุณภาพก่อน  เริ่มจากการมองด้านการตลาดและต่อเนื่องไปทางด้านต่าง ๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งความได้เปรียบในเชิงแข่งขันของกิจการเทียบกับคู่แข่ง เมื่อสนใจแล้ว  ผมจึงเริ่มวิเคราะห์ทางด้านปริมาณ  และตัวเลขทางการเงินที่ผมจะดูก่อนเลยก็คือตัวเลขสรุปข้อมูลทางการเงินที่สำคัญ 4-5 ปี ย้อนหลัง


1.สนใจมากก็คือ  กำไรสุทธิ
ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมากำไรของบริษัทเป็นอย่างไรบ้าง  ถ้ากำไรของบริษัทนั้น  ลุ่ม ๆ  ดอน ๆ  นั่นคือ  บางปีก็กำไร  บางปีก็ขาดทุน  แบบนี้ก็อาจจะบอกได้ว่า  กำไรของบริษัทนั้น  คาดการณ์ได้ยาก   ดังนั้น  อนาคตกำไรของบริษัทก็คงไม่แน่นอน  อาจจะกำไรหรือขาดทุนก็ได้  ลักษณะแบบนี้ผมก็จะรู้ว่าการหามูลค่าที่แท้จริงทำได้ยากมาก  ดังนั้น  บ่อยครั้งผมก็มักจะปล่อย  ผ่าน  ไป   ถ้ากำไรของบริษัทมีความผันผวนพอสมควรทีเดียวแต่ก็ยังกำไรอยู่ทุกปี  แบบนี้ผมก็จะดูว่าปีที่แย่ที่สุดเป็นอย่างไร  ถ้าพบว่าปีที่แย่ก็ยังได้กำไรคิดแล้วเท่ากับ  10%ของ Market Cap. หรือของมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมดในปัจจุบัน  แบบนี้  ผมก็คิดว่าหุ้นของบริษัทก็อาจจะยังน่าสนใจ  เพราะถ้าในอนาคตกำไรไม่ต่ำกว่านั้น การลงทุนซื้อหุ้นของผมในวันนี้ก็ยังทำผลตอบแทนได้ 10%  ต่อปี  ซึ่งถือว่าไม่เลวนัก

 ถ้ากำไร 4-5 ปีย้อนหลังที่ผมเห็นนั้น  มีความ  สม่ำเสมอ  คือขึ้นลงในระดับ 10-20 % แบบนี้  ผมก็จะสรุปว่ากำไรของบริษัทในอนาคตนั้นน่าจะพอ  คาดการณ์ได้  ผมก็จะศึกษาต่อไปว่ามูลค่าพื้นฐานของหุ้นน่าจะเป็นเท่าไรโดยอาจจะเทียบกับกำไรล่าสุดที่ผมเห็น     ถ้ากำไรที่สม่ำเสมอนั้น  เป็นกำไรที่ไม่ค่อยจะเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ปีแรกสุดจนถึงปีสุดท้ายที่แสดงในตาราง   ผมก็มักจะสรุปว่าเป็นหุ้นของกิจการที่อาจจะ  โตช้าหรือไม่โต”  แบบนี้มูลค่าพื้นฐานที่ผมจะให้ก็จะต่ำ เช่น  อาจจะให้มูลค่าพื้นฐานไม่เกิน 10 เท่าของกำไรของปีล่าสุดที่ผมเห็น   แต่ถ้ากำไร 5 ปีย้อนหลังที่ผมเห็นนั้น  มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีในอัตราที่น่าประทับใจเช่นเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงปีละ 15-20%  แบบนี้ผมก็อาจจะบอกตัวเองว่ามันอาจจะเป็นบริษัทที่กำลังโตเร็ว  ถ้าเป็นแบบนี้  ผมก็จะให้มูลค่ากับหุ้นสูงกว่าหุ้นที่ไม่โตมาก  อาจจะให้มูลค่าเท่ากับ 15-20 เท่าของกำไรของปีล่าสุดก็ได้

2.ROE  หรือกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้น  ถ้าตัวเลขนี้ในทั้ง 4-5 ปีที่ผ่านมาต่ำกว่า 10%  ต่อปี    ผมก็จะบอกตัวเองว่าบริษัทนี้กำไรไม่ดี  เป็นบริษัทที่มีคุณค่าค่อนข้างน้อยในเชิงธุรกิจ  บริษัทไม่ควรลงทุนขยายงานเพิ่มเพราะทำไปก็ไม่คุ้ม  ถ้ามีเงินสดเหลือควรจะจ่ายเป็นปันผลให้กับผู้ถือหุ้นมากกว่า  แต่ถ้าค่า ROE ของบริษัทสูงเกิน 15%  ทุกปี หรืออาจจะสูงเกิน 20%  ทุกปี  แบบนี้ก็แสดงว่าเป็นธุรกิจที่ดีมากเพราะทำกำไรให้ผู้ถือหุ้นสูงกว่าการลงทุนอื่นของผู้ถือหุ้นเอง  และสูงกว่าต้นทุนการเงินของบริษัท   อย่างไรก็ตาม  ผมก็จะต้องดูเพิ่มว่า ROE ที่สูงนี้  ไม่ได้เป็นเพราะบริษัทมีหนี้เงินกู้จากธนาคารสูงเกินไปด้วย

3.อัตรากำไรสุทธิคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดขาย  ตัวเลขนี้ในแต่ละอุตสาหกรรมจะแตกต่างกัน  เช่น  ถ้าเป็นผู้ค้าปลีก  ตัวเลขอาจจะอยู่ที่เพียง 3-5%   แต่ธุรกิจเช่น โรงแรม อาจจะสูงถึง 20%  เหตุผลสำคัญก็คือ  ผู้ค้าปลีกมักมียอดขายสูงดังนั้น  กำไรเพียง 3%  ก็ได้กำไรมากแล้ว  ในขณะที่โรงแรมนั้น  ยอดขายมักจะต่ำเมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่ใช้สร้างโรงแรม  ดังนั้น  Profit Margin ก็จะต้องสูงจึงจะคุ้ม  ประเด็นสำคัญของตัวเลขนี้ก็คือ  ถ้าอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแล้ว  บริษัทที่มี Margin สูงกว่าก็มักจะแสดงว่าเป็นบริษัทที่มีคุณสมบัติหรือคุณภาพที่สูงกว่า  พูดง่าย ๆ  มี Value สูงกว่า   นอกจากตัวเลขรายปีแล้ว  แนวโน้มของตัวเลขนี้ก็มีความสำคัญมาก  ถ้า  Profit Margin  ค่อย ๆ  เพิ่มขึ้นทุกปี  เช่น  ปีแรกเป็น 4% ต่อมาเป็น 4.2%  และถึงปีสุดท้ายหรือปีล่าสุดกลายเป็น 5%  แบบนี้ก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า คุณภาพของบริษัทนั้นดีขึ้นเรื่อย ๆ  ซึ่งจะทำให้ Value หรือมูลค่าของบริษัทสูงขึ้นเรื่อย ๆ

4.มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือ  Market Cap.  นี่คือตัวเลขที่บอกว่าอดีต 4-5 ปีที่ผ่านมาตลาดให้มูลค่าบริษัทเท่าไร  และปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าเท่าไร ประเด็นที่ต้องระวังก็คือ   บริษัทมีวอแร้นต์หรือสิทธิที่จะเพิ่มจำนวนหุ้นอยู่หรือไม่และมีมากเท่าไร  เพราะถ้ามีมากและจะออกขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมาก  ตัวเลข Market Cap. ที่เห็นล่าสุดก็อาจจะไม่จริง  เราอาจจะต้องซื้อในราคาที่แพงกว่าสิ่งที่เห็น  ข้อมูลมูลค่าตามราคาตลาดของหุ้นนี้เป็นตัวที่บอกว่าเราจะต้องจ่ายเท่าไรถ้าเราจะเป็นเจ้าของบริษัททั้งหมด ลองเอาไปเปรียบเทียบกับตัวเลขหลาย ๆ  ตัวเราก็จะพอมีไอเดียว่ามันถูกหรือแพง

5.PE ซึ่งบอกถึงความถูกหรือแพงของหุ้นในกรณีที่บริษัท มีกำไรที่สม่ำเสมอ  ค่า PE  ที่ปานกลางก็คือค่า PE ที่เท่า ๆ  กับค่า PE  ของตลาดโดยรวมซึ่งในช่วงนี้มีค่าประมาณ 12 -13 เท่า  ถ้าหุ้นที่เราดูอยู่มีค่า PE ต่ำกว่านี้ก็ถือว่าถูกและถ้าสูงกว่านี้ก็ถือว่าแพง  แต่หุ้นจะน่าซื้อหรือไม่นั้นต้องดูราคาเปรียบเทียบกับคุณภาพด้วย  ถ้ากิจการดี  ค่า PEจะสูงบ้างก็อาจจะคุ้ม  ตรงกันข้าม  ถ้าบริษัทไม่ดีเลย  ค่า PE แม้ว่าจะต่ำก็อาจจะไม่คุ้มค่า

6.PB ซึ่งบอกถึงราคาหุ้นเทียบกับมูลค่าของทรัพย์สินสุทธิของบริษัท ค่าเฉลี่ยของตลาดในช่วงนี้ก็ประมาณเท่ากับ 2 เท่าเศษ ๆ ดังนั้น  หุ้นที่มีค่า PB สูงกว่า  2 เท่าก็ถือว่าแพงกว่าค่าเฉลี่ย  อย่างไรก็ตาม  ค่า PB นั้นก็มักจะใช้ได้เฉพาะในกรณีที่สินทรัพย์มีราคาตลาดใกล้เคียงกับมูลค่าทางบัญชีอย่างเช่นในกรณีของสถาบันการเงิน  ส่วนบริษัทอีกจำนวนมากนั้น  ค่า PB  ก็บอกอะไรได้ไม่มากนัก

7.อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน  นี่คือตัวเลขที่บอกว่ามันเป็น  หุ้นปันผลหรือเปล่า  ถ้าตัวเลขนี้อยู่ในขั้น 5-6%  เกือบทุกปี  นี่ก็อาจจะบอกได้ว่าหุ้นตัวนี้น่าจะเป็นแนวหุ้นปันผลดี  ความเสี่ยงก็น่าจะต่ำหน่อยและก็อาจจะเหมาะสำหรับบางคนหรือเหมาะสำหรับการเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตหุ้นที่ไม่เสี่ยงมาก 

-------------------------------------------------------------
วัฒนธรรมเภท
เป็นอาการของคนที่มีบุคลิกสองด้านที่ขัดแย้งกัน  ด้านหนึ่งนั้นเป็นวิถีชีวิตที่ดำเนินไปโดยปกติวิสัยตามสามัญสำนึกของตนเอง  แต่อีกด้านหนึ่งนั้น  เป็นคุณค่าหรือเป็นแก่นสารที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของตนที่อยากจะเป็น   เขาคิดว่า  ทั้งสองสิ่งนี้แยกออกจากกันไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

กลยุทธ์และเท็คนิกที่เขาใช้ลงทุนที่ออกมาจากปากของเขาอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เขาปฏิบัติจริง ๆ   เช่นเดียวกัน  ชีวิตและความคิดของเขาก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราเห็น  แต่คำถามที่ตามมาก็คือ  แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคน ๆ หนึ่งนั้นมีตัวตนที่แท้จริงอย่างไร  เราควรจะเชื่ออะไร  คำตอบของผมก็คือ  ถ้าจะดูบุคลิกที่เป็นจริงของใคร  การดูในช่วงวัยเด็กหรือดูพื้นฐานทางสังคมที่เขาผ่านมาในวัยเด็กน่าจะเป็นตัวบอกที่ดีที่สุด  จริงอยู่  คนเรานั้นเปลี่ยนแปลงได้  แต่นั่นเป็นข้อยกเว้น  เราจะต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนจริง ๆ  แต่ถ้าเราไม่รู้จักเขาในวัยเด็ก  และไม่รู้จักพื้นเพของเขาเลย  การที่จะรู้จักเขาได้ถูกต้องจริง ๆ  น่าจะดูจากการกระทำมากกว่าที่มาจากคำพูดถ้าสองสิ่งนั้นไม่ตรงกัน 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น