วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555


สัญญาณแห่งคุณค่า

1.Market Share ก่อให้เกิดความได้เปรียบในแง่ของต้นทุนการผลิตและการขายของสินค้าต่อหน่วยซึ่งจะลดลง  และนั่นก็จะทำให้ได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้นไปอีก  ก่อให้เกิด “วงจรแห่งความรุ่งเรือง” ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ
2.บริษัทสามารถควบคุมราคาขายของสินค้าของบริษัทได้ดี  นั่นก็คือ  บริษัทสามารถกำหนดหรือควบคุมราคาขายสินค้าของบริษัทได้ในระดับที่มีเหตุผล  คือมีกำไรที่เพียงพอ  นี่เป็น Value หรือคุณค่าของกิจการ
3.ลูกค้ามีความภักดีต่อสินค้าหรือยี่ห้อของบริษัท ถ้าพบว่าลูกค้ามีความภักดีมาก  ไม่เปลี่ยนไปใช้สินค้าหรือบริการของคู่แข่งง่าย ๆ  แบบนี้ก็ถือว่าเป็น  Value ที่มีคุณค่า  
4.Profit Margin  หรือเปอร์เซ็นต์กำไรเมื่อเทียบกับยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ   นี่เป็นสัญญาณที่ต้องมองย้อนหลังไปหลาย ๆ  ไตรมา สาเหตุหลายอย่างเช่น  บริษัทสามารถขายสินค้าในราคาแพงขึ้นหรือสามารถลดต้นทุนลงไปเรื่อย ๆ  ซึ่งถือว่าเป็น Value หรือคุณค่าที่ดีมาก
5.Return On Equity (ROE)  หรือ ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นค่อนข้างสูงและสม่ำเสมอหรือเพิ่มขึ้น   ตัวเลขที่จะแสดงถึง Value หรือคุณค่านั้นผมคิดว่าน่าจะต้องไม่ต่ำกว่า 14-15%  ต่อปี  ยิ่งสูงก็ถือว่ามี Value มากขึ้นเท่านั้น  แต่นี่ก็ต้องหมายถึงว่าบริษัทไม่ได้กู้หนี้มากเกินกว่าที่ควรเป็นซึ่งก็คือควรจะมีหนี้ไม่เกิน 4-5 เท่าของกำไรต่อปี  ยกเว้นกิจการที่มีรายได้และกำไรค่อนข้างแน่นอนเช่นพวกกิจการสาธารณูปโภคที่อาจจะยอมให้มีหนี้มากกว่านั้นได้  เรื่องของ ROE นั้น  ผมคิดว่าแทบจะบอกได้เลยว่าถ้ากิจการไหนมี ROE ต่ำมากเช่นต่ำกว่า 10% ต่อปีอย่างต่อเนื่องยาวนาน  แบบนี้ต้องบอกว่าหุ้นไม่ค่อยมี  Value เท่าไร
6.กิจการที่สร้างกระแสเงินสดดี  ไม่ใช่กิจการที่ต้องลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หรือเป็นกิจการที่ต้องใช้เงินเพื่อบำรุงรักษาเครื่องจักร อุปกรณ์ค่อนข้างมากและตลอดเวลา  ยิ่งกิจการที่ขยายตัวได้โดยแทบจะไม่ต้องลงทุนเพิ่มก็ต้องถือว่าเป็นกิจการที่มีคุณค่าสูง  เพราะกิจการแบบนี้เมื่อมีกำไรก็มักจะสามารถจ่ายปันผลได้ในอัตราที่สูง
7.เรื่องของผู้บริหาร  คุณค่าของกิจการนั้นขึ้นอยู่กับตัวผู้บริหารค่อนข้างมาก  ผู้บริหารที่มีความโปร่งใส  เปิดเผยหรือเปิดตัวต่อสาธารณชนไม่แอบอยู่ใน “มุมมืด”  ผู้บริหารที่มีความซื่อสัตย์สุจริต  ผู้บริหารที่ทำอะไรมีเหตุมีผล  ผู้บริหารที่ตัดสินใจอะไรก็คำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น  และที่สำคัญ  ผู้บริหารที่จัดสรรผลกำไรอย่างเหมาะสม  นั่นคือ  จ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอย่างยุติธรรม  เหล่านี้เป็นคุณค่าของบริษัท 
----------------------------------------------------
Effect นั้น  หมายถึงผลกระทบ  หรืออิทธิพลอันเนื่องมาจากการกระทำของคนหรือกลุ่มของนักลงทุนที่มีต่อราคาหุ้นซึ่งอาจจะไม่นับหรือยังไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของพื้นฐานของบริษัท  แต่เป็นเรื่องที่การกระทำของคนหรือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ส่งผลให้มีคนทำตามจำนวนมาก  ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นหรือลงมากกว่าที่ควรเป็น
          ในเมืองไทยนั้น  Effect ก่อนหน้านี้เท่าที่เห็นก็จะมีเฉพาะที่มาจากนักเก็งกำไรหรือ  “นักปั่น”  หุ้นรายใหญ่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ   ในสมัยก่อนนั้น  พอมีข่าวว่า  เซียนหรือรายใหญ่กำลังเข้ามาเล่นหุ้นตัวไหน  หุ้นตัวนั้นก็  “วิ่งกันกระจาย”  เพราะคนเชื่อว่าต้องรีบซื้อก่อนที่มันจะวิ่ง  พอคนจำนวนมากคิดแบบนั้น  หุ้นก็ต้องขึ้นทั้ง ๆ  ที่พื้นฐานบริษัทอาจจะแย่มาก   อย่างไรก็ตาม  Effect เนื่องจากขาใหญ่นั้น  ในระยะหลังก็เริ่ม “เลือนลาง”  ไปเนื่องจากคนที่  “ซื้อตาม”  นั้นจำนวนมาก  “หนีไม่ทัน” และมักจะขาดทุน  จึงเลิกเชื่อถือ  ผลก็คือ  Effect เหล่านั้นก็หมดไปพร้อม ๆ  กับความนิยมในการเล่นหุ้นเก็งกำไรที่ไม่มีพื้นฐาน  และนั่นคงเป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนแบบ  Value Investment ที่เริ่มแพร่หลายและได้รับการยอมรับมากขึ้น
 VI Effect
1.พลังเงิน 
2.ผลงานและความรอบรู้ในตัวกิจการของ VI ระดับ  “เซียน”  
3.พลังของการสื่อสาร
4.พลังของความคิดและความเชื่อที่คล้ายคลึงกันของ VI นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เกิด Effect ง่ายขึ้นเข้าทำนอง  “สามัคคีคือพลัง”
5.
------------------------------------------------
VI แบบ Aggressive
1.หุ้นของกิจการที่มีผลประกอบการที่เป็นวัฎจักรรุนแรง
2.หุ้นเล็กที่ไม่มีใครเหลียวแล  บางคนเรียกว่า  “หุ้นเงา” 
3.หุ้น  “นางฟ้าตกสวรรค์”
4.หุ้นฟื้นจากภาวะล้มละลายหรือปัญหารุนแรงทางการเงินและธุรกิจ
5.หุ้นบลูชิพที่มีราคาตกต่ำลงมากเนื่องจากปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นครั้งเดียว
6.หุ้นซุปเปอร์สต็อก นี่คือการลงทุนในหุ้นที่มีคุณสมบัติ  “สุดยอด”
------------------------------------------------

สัญญาณแห่งความรุ่งเรือง

1.ร้านสะดวกซื้อมีคนเดินหยิบสินค้าและเข้าคิวจ่ายเงินมากขึ้น  ร้านสะดวกซื้อนั้น  จริง ๆ  แล้วเป็นสัญญาณที่ไม่แรงหรือเป็นสัญญาณอ่อน  สัญญาณว่าคนชั้นกลาง-ล่าง มีเงินมากขึ้นในการซื้อสินค้า  เครื่องดื่มและอาหารบริโภคในชีวิตประจำวัน  ดังนั้น  นี่เป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจในระดับรากหญ้าน่าจะดีขึ้น
2.ห้างสรรพสินค้าขนาดเล็กที่ให้บริการคนใน  “ท้องถิ่น”  และคนชั้นกลางที่เป็นพนักงานออฟฟิสที่มาต่อรถแถว  ๆ  อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  เริ่มรู้สึกว่า  ร้านอาหารที่มีอยู่หลายร้านต่างก็เริ่มมีคิว  เมื่อสั่งอาหารแล้วก็ต้องรอนานขึ้นกว่าที่อาหารจะมาเสิร์พ สัญญาณว่าคนชั้นกลางมีเงินมากขึ้น  และอาหารเป็นสิ่งแรกที่พวกเขาจะใช้เงินเพิ่ม
3. ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่และหรูหรากลางเมือง  นี่คือสถานที่ที่ผมจะต้องเข้าไปซื้อหาสินค้าและอาหารเพื่อที่จะรับประทานตลอดสัปดาห์ เรื่องที่จอดรถ   ก่อนหน้านี้การหาที่จอดรถก็ไม่ง่ายอยู่แล้ว   แต่ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานั้น  การหาที่จอดรถก็ยากขึ้นเรื่อย ๆ   บางวันต้องถูกปัดให้ไปจอดรถในจุดที่อยู่ใกล้เคียงเนื่องจากที่จอดรถเต็มเกินไป  สร้างความยุ่งยากให้กับผมที่ต้องขนอาหารจำนวนมากในแต่ละครั้ง   และนี่เป็นสัญญาณว่า  “คนรวย”  กำลังใช้จ่ายมากขึ้น
4.สัญญาณที่แรงมาก “รถป้ายแดง”  ที่วิ่งอยู่ในท้องถนน   ในยุคนั้น  รถป้ายแดงที่วิ่งอยู่บนท้องถนนนั้นมีจำนวนมากจนเป็นที่สังเกตได้ชัดเจน เป็นสัญญาณที่บอกว่าคนมีรายได้สูงและคนชั้นกลางระดับสูงมีความมั่นใจและมีเงินหรือมีปัญญาที่จะซื้อรถมาใช้ได้มากขึ้น  นั่นหมายความว่าเศรษฐกิจกำลังร้อนแรง  และก็คงเติบโตสูงมากอย่างที่มีการคาดกันว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้อาจจะโตถึงเกือบ 10% ได้
5.การซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม  นี่เป็นสัญญาณที่แรงมาก การซื้อบ้านและคอนโดก็อยู่ในระดับที่ดีมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา  และเป็นการแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยแข็งแรงดี  คนระดับกลางและสูงมีเงินและพร้อมที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยและลงทุนจำนวนมาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น