วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

         การเติบโตของธุรกิจนั้น  บางทีก็ทำให้เร็วกว่าปกติมาก ๆ  ได้  ทางหนึ่งก็คือ  ซื้อกิจการของคนอื่น  แบบนี้บริษัทก็จะมีต้นทุนทางการเงินที่อาจจะสูงจนทำให้กำไรต่อหุ้นของบริษัทไม่เพิ่มขึ้น  ซึ่งก็จะไม่เป็นประโยชน์อะไรต่อผู้ถือหุ้นในระยะยาว
        อีกทางหนึ่งก็คือ  การลงทุนขยายตัวในธุรกิจผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ที่มักมีผลกำไรในระยะยาวต่ำหรือเท่ากับผลตอบแทนของเงินลงทุนปกติ  การทำแบบนี้ก็อาจจะทำให้บริษัทสามารถโตเร็วกว่าปกติได้  เพราะสินค้าโภคภัณฑ์จำนวนมากนั้น  มีตลาดไม่จำกัดเพราะเป็นตลาดโลก ดังนั้น  บริษัทจะโตเท่าไรก็ได้  แต่โตแล้วก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร  เพราะต้องลงทุนสร้างโรงงาน  กำไรที่เพิ่มขึ้นก็คือผลตอบแทนปกติของเงินทุนที่ลงไป  ประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นที่เป็นเจ้าของเงินก็ไม่มี
--------------------------------------------------------------------
      ความโดดเด่น  ความยิ่งใหญ่  และความสำคัญของบริษัท  ต่อลูกค้า  และต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศว่ามีมากน้อยแค่ไหน  ถ้าไม่มีบริษัทนี้จะเกิดอะไรขึ้น  ถ้าคำตอบก็คือ  บริษัทนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อชีวิตของคนจำนวนมาก  หรือสินค้าหรือบริการเป็นที่ต้องการของคนมากมายในขณะที่หาสินค้าหรือบริการแบบเดียวกันจากบริษัทอื่นไม่ได้หรือได้ยาก  ในกรณีอย่างนี้ ผมก็จะสนใจและอาจจะให้คุณค่าสูง  และคำว่าคุณค่าสูงของผมนั้น  ผมจะวัดจาก Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งบริษัท
บริษัทไมโครซอฟท์
แอปเปิลคอมพิวเตอร์
หุ้นกูเกิล
เฟซบุ๊ค
หุ้นการบินไทย
หุ้น CPF
หุ้น CPALL
----------------------------------------------------------

อภินิหารของหุ้น

1.หุ้นเหล่านี้มักมี Free Float หรือหุ้นที่อยู่ในมือของนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรระยะสั้นค่อนข้างน้อยถึงน้อยมาก
การมี Free Float ต่ำนั้น  ผมคิดว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปสูงลิ่วได้
2.บริษัทมักอยู่ในธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการที่มีราคาขายผันผวนคือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์  และช่วงที่จะกลายเป็นหุ้นอภินิหารก็คือช่วงที่เกิดการขาดแคลนสินค้าในตลาดทำให้ราคาปรับตัวขึ้นมากส่งผลให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด + บริษัทก็มักจะประกาศขยายกำลังการผลิตเพื่อที่จะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นไปอีก
3.หุ้นอภินิหารนั้นต้องมี  คนเล่น  ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีหลายกลุ่มตั้งแต่คนที่เป็น สปอนเซอร์  ซึ่งมักจะเป็นรายใหญ่ที่มีพลังเงินมากเมื่อเทียบกับขนาด Free Float ของบริษัทในช่วงก่อนที่จะเป็นหุ้นอภินิหาร  และต้องมีนักเล่นหุ้นรายย่อยที่เป็นนักเก็งกำไรซึ่งเข้ามาเล่นหุ้นรายวันโดยหวังจะทำกำไรจากความผันผวนของราคาหุ้น
4.หุ้นอภินิหารนั้น  มักจะเกิดขึ้นในยามที่ภาวะตลาดหุ้นสดใสเป็นตลาดกระทิงที่มีปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันสูงมาก  หุ้นอภินิหารเองนั้นก็มักจะปรับตัวแรงในวันที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น  เรียกว่าราคาหุ้นมักเกาะกระแสตลาด  เช่นเดียวกัน  วันไหนที่ตลาดปรับตัวลงแรง  หุ้นอภินิหารก็ตกแรงตามไปด้วย

หุ้นอภินิหารนั้น  สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ  ไม่ช้าก็เร็ว  ความอภินิหารก็จะหายไป  จุดเริ่มต้นมักจะเป็นเรื่องของราคาสินค้าของบริษัทที่มักจะเป็นราคาตลาดหรือตลาดโลกเริ่มเข้าสู่วัฏจักรขาลง  หรือสินค้าที่ในช่วงต้นกำลังมาแรงเริ่มจะอ่อนตัวลง  หรือเรื่องราวดี ๆ  ที่คิดไว้นั้นเมื่อเวลาผ่านไปไม่เกิดขึ้น   หรือในบางกรณีสปอนเซอร์ใหญ่เลิกเล่นแล้วหลังจากที่ออกของหรือขายหุ้นทำกำไรไปได้หมดแล้ว  ระยะเวลาของการเป็นหุ้นอภินิหารนั้นบางกรณีก็สั้นมากแต่บางกรณีก็ยาวหลายปี  แต่เมื่ออภินิหารหมดไป  หุ้นเหล่านี้ก็มักจะปรับตัวลงกลับไปที่เดิมหรือใกล้เคียงกับราคาเดิมก่อนที่จะเกิดอภินิหาร  คนที่เข้าไปเล่นแล้วออกของไม่ทันด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ก็จะเจ็บตัวและขาดทุนหนัก  แต่ผมก็ยังเชื่อว่าน้อยคนที่จะเข็ด  หุ้นอภินิหารตัวใหม่ก็จะมีสตอรี่ใหม่ที่น่าเชื่อถือและน่าประทับใจไม่เหมือนตัวเดิม คนในตลาดหุ้นนั้น  ความจำสั้นมาก แต่ความโลภนั้นถาวร  ดังนั้น  หุ้นอภินิหารจึงเกิดขึ้นเสมอโดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นปรับตัวเป็นกระทิงและคนในตลาดต่างก็ถูกครอบงำโดยความโลภ
-----------------------------------------
Mechanical Rule (ลงทุนหุ้นตามสูตร)
            การลงทุนที่มิได้วิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัว  แต่เลือกหุ้นโดยอาศัยกฏเกณฑ์ตายตัวชุดหนึ่ง  ในกรณีของเขาก็คือ  การเลือกหุ้นที่มีราคาตกต่ำมากจนเกือบไม่มีค่านั่นคือราคาหุ้นต่ำกว่า 1 เหรียญ ซึ่งในตลาดสหรัฐอเมริกาก็คือหุ้นที่มีราคาต่ำมากเปรียบเสมือนกับหุ้นราคาตัวละไม่เกิน 1 บาทในตลาดหุ้นไทย  ทฤษฎีของเขาก็คือ  ในยามที่ตลาดหุ้นกำลังฟื้นตัวนั้น  หุ้นที่มีราคาตกต่ำมากที่สุดจะมีการฟื้นตัวเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์สูงที่สุด  - โดยเฉลี่ย  นั่นไม่ได้หมายความว่าหุ้นราคาต่ำกว่า 1 เหรียญทุกตัวจะต้องฟื้นตัว  หุ้นหลาย ๆ ตัวอาจจะไม่ฟื้นเลยหรือบางตัวอาจจะตกต่ำลงและมีค่าเป็นศูนย์   แต่หุ้นอีกหลายตัวอาจจะปรับตัวขึ้นไปหลายเท่าตัวซึ่งทำให้พอร์ตโดยรวมแล้วให้ผลตอบแทนสูงมาก
กฏข้อแรกก็คือ  การมองหา ภาพใหญ่  หรือทฤษฎีว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรือหุ้นกลุ่มไหนจะให้ผลตอบแทนสูงในช่วงเวลาหนึ่ง  
กฏข้อสองก็คือ  หา  ตัวแทน หรือข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นที่จะเป็นตัวแทนของหุ้นตามทฤษฎีนั้น  พูดให้ง่ายก็คือการหา สูตร สำหรับเลือกหุ้นลงทุน  
กฏข้อสามก็คือ  การเลือกหุ้นที่เข้าเกณฑ์หรือเป็นไปตามสูตรนั้น  
กฏข้อสี่ก็คือ  ต้องเลือกซื้อหุ้นทุกตัวที่เข้าเกณฑ์ตามสูตรไม่มีข้อยกเว้น  อย่าใช้วิจารณญาณ  
กฏข้อที่ห้าก็คือ  การติดตามดูผลตอบแทนของการลงทุนทุกช่วงเวลาที่กำหนดซึ่งส่วนใหญ่มักจะกำหนดเป็นปี ๆ  เป็นเวลาหลายปี  และ
กฏข้อสุดท้ายก็คือ  การกำหนดเวลาเลิกลงทุนซึ่งก็คือการดูว่าเราควรเลิกและล้างพอร์ตเมื่อไร



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น