วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

หุ้นโภคภัณท์
1.เรือ
2.หุ้นผลิตฟิล์มสำหรับบรรจุอาหาร
3.กลุ่ม  ยาง
4.ปิโตรเคมี
5.สินค้าเกษตรที่ต้องใช้เวลาในการปลูกยาวนาน
6.แร่ธาตุที่หายาก
เหตุผลความหวือหวาของราคา
1.ข้อแรก  ค่า PE  หรือราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้นนั้นยังต่ำมากเพียง 3-4 เท่าก็มี  ซึ่งถือว่าเป็นหุ้นที่  ถูกมาก  ซื้อหุ้นแล้ว เพียง  3-4 ปี ก็คืนทุนแล้ว  แต่นี่อาจเป็นความเข้าใจผิด เพราะหุ้นโภคภัณฑ์นั้น  กำไรมักไม่สม่ำเสมอ  กำไรที่เห็นนั้นคือกำไรที่มากกว่าปกติมากและไม่ยั่งยืน   กำไรโดยเฉลี่ยที่จะรักษาอยู่ได้นั้นอาจจะต่ำกว่าหลายเท่า   ดังนั้น  การเอาปีที่กำไรดีผิดปกติมาใช้วัดค่า PE  จึงใช้ไม่ได้  หุ้นที่จะสามารถใช้ค่า PE เป็นตัววัดความถูกความแพงนั้น  ควรจะเป็นกิจการที่มีกำไรสม่ำเสมอหรือเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น  ดังนั้น  ในกรณีของหุ้นโภคภัณฑ์แบบนี้  ค่า PEจึงมีประโยชน์น้อย  การบอกว่าค่า PE ต่ำแสดงให้เห็นว่าเป็นหุ้นถูกจึงอาจจะไม่ถูกต้อง
2.หุ้นโภคภัณฑ์ที่กำลังร้อนนั้น  นอกจาก PE  ต่ำแล้ว  ค่า  PB หรือราคาต่อมูลค่าทางบัญชี  ซึ่งเป็นตัวชี้ความถูกความแพงอีกตัวหนึ่งก็อาจจะต่ำด้วย  บางทีต่ำกว่า 1 เท่าหรือไม่เกิน 2 เท่า  ดังนั้น  นี่เป็นการ ยืนยัน  อีกจุดหนึ่งว่าหุ้นร้อนตัวนั้น  ยังถูกมาก  นี่ก็อาจจะมีส่วนจริงบ้างถ้าคิดว่ามูลค่าทรัพย์สินทางบัญชีนั้นอาจจะเป็นมูลค่าของทรัพย์สินจริง ๆ  ที่สามารถขายได้ในกรณีเลิกกิจการ  แต่ในความเป็นจริงก็คือ  ไม่มีบริษัทไหนคิดจะเลิกกิจการ  และผมก็ไม่แน่ใจว่าถ้าเลิกจริง ๆ  สินทรัพย์จะมีราคาอย่างที่ว่าจริงไหม  เพราะบ่อยครั้ง  เวลาเลิกกิจการ  โรงงานมักจะกลายเป็นเศษเหล็กที่แทบไม่มีค่าเลย  นอกจากนั้น   มูลค่าทางบัญชีเองก็ลดลงได้ในกรณีที่บริษัทมีผลขาดทุนในอนาคตอันเนื่องมาจากราคาของโภคภัณฑ์ที่ลดลงก็ได้  สรุปแล้ว  ค่า PB เองก็ไม่ได้บอกอะไรที่มีความหมายมากนักในกรณีของหุ้นโภคภัณฑ์ที่เป็นโรงงาน
3. ค่า Dividend Yield หรือผลตอบแทนเงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้น  ของหุ้นโภคภัณฑ์ที่กำลังร้อนแรงนั้น  มักจะสูงลิ่ว  บางทีมากกว่า 6-7% ต่อปี ซึ่งเป็นปันผลที่งดงามมาก  นี่เป็นตัวยืนยันความถูกของหุ้นในสไตล์หุ้น   ห่านทองคำ  ซึ่งเป็นแนวของนักลงทุนแบบVI  ที่  อนุรักษ์นิยมมาก  ในกลุ่ม VI ด้วยกัน   ดังนั้น  นี่เป็นการยืนยันความปลอดภัยของหุ้นอีกจุดหนึ่ง   แต่นี่ก็อาจจะเป็นการวิเคราะห์ที่ผิดพลาดอีกเช่นกัน   เหตุผลก็คือ  ปันผลที่เห็นนั้น  เป็นปันผลที่คิดจากกำไร  ถ้าในอนาคตกำไรลดลง  ปันผลก็ต้องลดลง   ผลตอบแทนที่บอกว่า 6-7% จึงเป็นปันผลเพียงครั้งเดียว  ในอนาคตอาจจะน้อยลงหรือไม่มีก็ได้  ดังนั้น  Dividend Yieldในกรณีของหุ้นโภคภัณฑ์จึงไม่ได้บอกว่าหุ้นถูกหรือแพง
4.ฐานะการเงินของหุ้นโภคภัณฑ์ในยามร้อนแรงก็อาจจะดีเยี่ยม  บางทีมีเงินสดเหลือเฟือด้วยซ้ำ  แต่นี่ก็อาจจะเป็นภาพลวงตา   เพราะเงินสดนั้น  ไม่ได้นำมาแจกจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้น  บางทีอนาคตก็อาจจะหมดไปกับการลงทุนหรืออะไรต่าง ๆ  ที่ไม่ได้สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับบริษัท  ดังนั้น  เงินสดก็อาจจะมีความหมายไม่มากถ้าเจ้าของเขาไม่อยากแจกคืนให้ผู้ถือหุ้น

วิธีการที่ผมคิดว่าดีที่สุดสำหรับการเล่นหุ้นโภคภัณฑ์ก็คือ  
1.ซื้อหุ้นก่อนที่วัฏจักรราคาสินค้าจะเป็น  ขาขึ้น  อย่างน้อย 2-3 เดือนโดยที่ราคาหุ้นยังไม่ได้ขยับขึ้นหรือปรับตัวขึ้นก็เพียงเล็กน้อย  ขายหุ้นเมื่อทุกอย่างกำลังร้อนแรงสุด ๆ  และราคาหุ้นขึ้นไปสูงมากจนไม่น่าเชื่อ 
-----------------------------------------------

หุ้นพันธบัตร

หุ้นที่มีคุณสมบัติคล้าย ๆ  กับพันธบัตร
ผลตอบแทนที่ได้ต่อปีอยู่ในระดับที่  พอใช้ได้  วัดจากอัตราเงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาที่ซื้อ  ซึ่งในภาวะปัจจุบันก็ไม่ควรต่ำกว่า 4-5% ต่อปี 
เงินปันผลนี้จะต้องไม่ลดลงในอนาคตและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ  ในอัตราที่ไม่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อของระบบเศรษฐกิจ
ส่วนผลตอบแทนที่เกิดจากราคาหุ้นหรือ  Capital Gain นั้น  ผมจะไม่นำมาคิดในช่วงที่ซื้อหุ้น
1.มันควรอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่  Defensive ซึ่งยอดขายโดยรวมไม่ผันผวนมากนักตามภาวะเศรษฐกิจ  สินค้าหรือบริการเป็นสิ่ง จำเป็น  ในชีวิตของผู้คน   ถ้ายอดขายมีความผันผวนหรือมีความไวต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจหรือปัจจัยแวดล้อมมาก ๆ  ก็เป็นเรื่องยากที่กิจการจะมีผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอได้
2.ผลประกอบการของบริษัทไม่ควรที่จะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหรือปัจจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะในปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้มากนัก  เช่น  ไม่ควรขึ้นอยู่กับความต้องการหรือ Demand ของสินค้า  หรือไม่ควรขึ้นอยู่กับเรื่องคู่แข่งหรือผู้ให้บริการรายใหม่ ๆ  ที่จะเข้ามา  หรือถ้าจะพูดไปก็คือ  บริษัทอาจจะไม่ได้อยู่ในตลาดของการแข่งขันเสรีเนื่องจากเหตุผลต่าง ๆ  ซึ่งอาจจะรวมถึงเรื่องของกฎระเบียบ  สัมปทาน  สัญญาหรือข้อตกลงที่มีการลงนามและผูกพันในระยะยาว หรือแม้แต่เรื่องที่เป็นการผูกขาดตามธรรมชาติของธุรกิจ  เป็นต้น  นอกจากนั้น  ผลประกอบการของบริษัทก็ไม่ควรที่จะต้องขึ้นอยู่กับต้นทุนสำคัญที่ไม่อยู่ในการควบคุมของกิจการด้วย  เพราะนี่อาจจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทถูกกระทบได้มาก  ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่าราคาสินค้าหรือบริการของบริษัทสามารถปรับตามต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไปได้
3.ความสำเร็จหรือผลประกอบการของบริษัทน่าจะขึ้นอยู่กับ  Operation  หรือการดำเนินงานบางอย่างเท่านั้น  เช่น  ถ้าบริษัทสามารถผลิตหรือให้บริการตามที่ตกลงหรือตามที่กำหนดเป็นภารกิจของบริษัทได้แล้ว  บริษัทก็จะสามารถทำกำไรได้ในระดับที่น่าพอใจ  และกิจกรรมหรืองานที่บริษัททำนั้นไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ที่ทำได้ยาก  แต่เป็นการทำงานตามปกติของบริษัท  โอกาสที่บริษัทจะทำไม่ได้หรือเกิดการผิดพลาดมีน้อย  และนี่ทำให้บริษัทมีกำไรและจ่ายปันผลได้ในอัตราที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ
4.มีข้อเสียเช่นเดียวกันในแง่ที่ว่า  กำไรที่ดีผิดปกติก็มักจะไม่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน  เหตุผลก็เพราะว่าบริษัทที่มีคุณสมบัติแบบนี้มักจะ  ถูกล็อก  ไม่ให้ทำกำไรเกินควรจากรัฐบาลหรือหน่วยงานควบคุมเนื่องจากมันอาจจะมีอำนาจในการผูกขาด  หรือมันเป็นเรื่องของสัญญาที่ผู้ให้สัญญาต้องเป็นผู้จ่ายเงิน  ดังนั้น  หุ้นพันธบัตรจึงมีลักษณะคล้าย ๆ  พันธบัตรนั่นคือ ความเสี่ยงต่ำในแง่ของผลประกอบการ  แต่ผลตอบแทนก็มักจะไม่สูงโดยเฉพาะถ้ามองจากมุมของตัวกิจการเอง
5.ผลตอบแทนที่ผมคาดว่าจะได้จากหุ้นพันธบัตรนั้น  จะต้องดีกว่าการถือพันธบัตร  นั่นก็คือ  ผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อปีของหุ้นจะต้องดีกว่าหรืออย่างน้อยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยที่ผมจะได้จากการถือพันธบัตรรัฐบาลซึ่งปัจจุบันก็อยู่ที่ประมาณ 5ต่อปี  และบริษัทควรที่จะมีการเติบโตของยอดขายและกำไรอย่างน้อยเท่ากับอัตราเงินเฟ้อที่ประมาณ 3% ต่อปี  ดังนั้น  โดยรวมแล้ว  อย่างต่ำผมควรจะได้ผลตอบแทนประมาณไม่น้อยกว่า 8%  ต่อปี   โดยวิธีหาหุ้นที่จะเข้าข่ายก็ทำได้อย่างง่าย  ๆ  โดยดูที่กำไรปีล่าสุดว่าเป็นเท่าไรและปันผลเป็นเท่าไร    ต่อมาก็ดูว่ากำไรและปันผลนั้นบริษัทน่าจะรักษาระดับอยู่ได้รวมถึงสามารถเติบโตได้อย่างน้อย 3-4% ขึ้นไป  ยกตัวอย่างเช่น  บริษัทมีกำไรปีละ 5 บาทต่อหุ้น  ในกรณีแบบนี้ ผมก็จะยินดีที่จะจ่ายเงินซื้อหุ้นที่ราคาไม่เกิน 100 บาทซึ่งจะทำให้ผมได้เงินปันผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี ซึ่งดีกว่าการถือพันธบัตรเนื่องจากการถือหุ้นผมน่าจะได้กำไรจากราคาหุ้นด้วย  เพราะหุ้นตัวนั้นจะมีการเติบโตจากกำไรและปันผลที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต

-----------------------------------------------
หุ้น  Defensive
หุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ยอดขายไม่ใคร่ถูกกระทบมากนักโดยภาวะเศรษฐกิจไม่ว่าจะทางดีหรือร้าย
1.อุตสาหกรรมอาหาร
2.กลุ่มสาธารณูปโภค
3.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น