ปัจจัยที่ “ไม่เกี่ยวกับพื้นฐาน” ของกิจการ
ข้อมูลสำคัญสุดยอดที่จะบอกว่าราคาหุ้นจะไปทางไหนในอนาคตอันใกล้
-------------------------------------------------------------------
สภาพคล่องของหุ้นนั้นมองได้เป็นสองมิตินั่นคือ
1.มองจากนักลงทุนที่จะซื้อขายหุ้นหรือพูดง่าย ๆ มองจากตัวเราเองว่าเรามีเงินลงทุนเท่าไรและจะซื้อหุ้นแต่ละตัวในวงเงินเท่าไร ตัวอย่างเช่น พอร์ตของเรามีอยู่ 10 ล้านบาท และเราจะไม่ลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเกิน 2-3 ล้านบาท แบบนี้ เราก็จะต้องดูว่าหุ้นที่เราสนใจจะลงทุนนั้นมีการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันประมาณเท่าไร ถ้าพบว่าหุ้นตัวนั้นมีการซื้อขายประมาณวันละเพียง หนึ่งแสนบาท นั่นก็แปลว่าเราอาจจะต้องใช้เวลาในการขายหุ้นให้หมดถึง 20-30 วัน ถ้าเราลงทุนในหุ้นตัวนั้น 2-3 ล้านบาท และสมมุติว่าไม่มีคนอื่นขายเลยนอกจากเรา ในสถานการณ์แบบนี้ ก็ต้องถือว่าหุ้นมีสภาพคล่องต่ำเกินไป การซื้อหุ้นอาจจะอันตรายถ้าเราคาดการณ์ผิดและจำเป็นต้องขายทิ้ง เพราะในการขายหุ้นจำนวนมากเมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันจะทำให้ราคาหุ้นตกต่ำลงมากอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การซื้อหุ้นแบบนี้เราจะต้องมั่นใจมากว่าราคามันต่ำกว่ามูลค่ามากและเราพร้อมที่จะถือมันไว้ตลอดไป หรืออย่างน้อยก็ต้องถือได้ 3-5 ปีขึ้นไป นอกจากนั้น ในระหว่างที่ถือหุ้นอยู่ มันควรจะมีปันผลให้เราอย่างน้อย 4-5% ต่อปีโดยไม่ลดลงและมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
2.ปริมาณการซื้อขายของหุ้นเมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท นี่เป็นการวัดอย่างคร่าว ๆ ว่าคนที่เข้ามาซื้อหุ้นของบริษัทนั้น ซื้อแล้วถือไว้นานแค่ไหนโดยเฉลี่ย ตัวอย่างเช่น ถ้าบริษัทมีมูลค่าหุ้นทั้งบริษัทหรือเรียกว่า Market Cap. เท่ากับ 1,000 ล้านบาท และหุ้นของบริษัทมีการซื้อขายในตลาดหุ้นเฉลี่ยวันละ 10 ล้านบาท นี่ก็แปลว่าคนที่ซื้อและถือหุ้นของบริษัทไว้นั้น เขาจะทยอยขายหุ้นและใช้เวลาขายหมดภายใน 100 วัน หรือประมาณ 3 เดือนกว่า ๆ หรือพูดอีกแบบหนึ่งก็คือ คนที่ลงทุนในบริษัทนี้ โดยเฉลี่ยแล้วลงทุนเพียง 3 เดือนเศษ ๆ ก็ขายทิ้งแล้ว ไม่ได้เป็นนักลงทุนระยะยาวที่เน้นที่ผลประกอบการและรอกินปันผลที่บริษัทอาจจะจ่ายปีละครั้ง
ประเด็นของการถือหุ้นสั้นหรือถือหุ้นยาวของนักลงทุนในหุ้นแต่ละตัวก็คือ มันเป็นการบอกถึง “ดีกรี” หรืออัตราในการ “เก็งกำไร” ของนักลงทุนในหุ้นแต่ละตัว นั่นก็คือ หุ้นที่มีสภาพคล่องสูงมาก วัดจากปริมาณการซื้อขายต่อวันเทียบกับมูลค่าหุ้นทั้งหมดของบริษัท เช่น หุ้นบางตัวที่มีการซื้อขายต่อวันเท่ากับ 100 ล้านบาท ในขณะที่ Market Cap. เท่ากับ 1,000 ล้านบาท ซึ่งแปลว่าผู้ถือหุ้นถือหุ้นลงทุนเพียง 10 วันโดยเฉลี่ยก็ขายทิ้งแล้ว แบบนี้ก็ถือว่าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่มีการเก็งกำไรร้อนแรง ตรงกันข้าม หุ้นบางตัวนั้น ผู้ถือหุ้นถือไว้โดยเฉลี่ยถึง 3 ปี แบบนี้ ก็ต้องบอกว่าเป็นหุ้นที่ไม่มีการเก็งกำไรหรืออาจจะบอกว่าเป็นหุ้นที่คนไม่สนใจที่จะซื้อขายเนื่องด้วยเหตุผลต่าง ๆ
ผมเอง กำหนดว่า หุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันโดยเฉลี่ยตั้งแต่ 1% ของมูลค่าหุ้นทั้งหมดถือว่าเข้าข่ายเป็น “หุ้นเก็งกำไร” ยิ่งมากกว่านั้นก็ยิ่งมีการเก็งกำไรสูงเท่านั้น และยิ่งหุ้นมีการเก็งกำไรสูงเท่าไร ราคาหุ้นก็มีแนวโน้มที่จะสูงเกินกว่าราคาที่ควรจะเป็น ดังนั้น โอกาสที่หุ้นเก็งกำไรสูงจะเป็นหุ้น Value จึงมีน้อย ผมจึงมักหลีกเลี่ยงและถ้ามีก็จะขายทิ้ง หุ้นที่เข้าข่ายเก็งกำไรสูงลิ่วกลุ่มหนึ่งก็คือ หุ้นที่เพิ่งเข้าซื้อขายหุ้นใหม่ในตลาดหลังจากการทำ IPO ซึ่งมักจะมีปริมาณการซื้อขายสูงมาก ดังนั้น ผมจึงมักหลีกเลี่ยงที่จะลงทุน และถ้าผมได้จองซื้อหุ้นไว้ผมก็มักจะขายทิ้งค่อนข้างเร็ว ถ้าผมสนใจหุ้นเหล่านี้ ผมจะรอจนปริมาณการซื้อขายหุ้นลดลงจนต่ำกว่า 1% ต่อวันซึ่งเป็นจุดที่ผมคิดว่าหุ้นไม่มีการเก็งกำไรมากจนเกินไป
---------------------------------------------------
Premiums
1. “Super Stock Premium”
“มูลค่าส่วนเกิน” ที่ตลาดให้กับหุ้นที่เป็น Super Stock หรือเป็นหุ้นของกิจการที่มีคุณภาพ “ดีสุดยอด” ซึ่งอาจจะหมายถึงกิจการที่มีคุณสมบัติหลาย ๆ อย่างดังเช่น เป็นกิจการที่มีขนาดใหญ่กว่าคู่แข่งมาก มีอำนาจทางการตลาดสูงมากเพราะลูกค้าไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้บริการคู่แข่งได้ง่าย มียี่ห้อสินค้าที่โดดเด่นกว่าคู่แข่งมาก สินค้าไม่ถูกควบคุมด้วยราคาหรือกฎเกณฑ์อื่น ๆ มีกำไรหรือมาร์จินจากยอดขายสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน การขายสินค้าหรือบริการเพิ่มไม่ต้องลงทุนเพิ่มมากนัก กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงลิ่ว ธุรกิจยังมีการเติบโตที่ดีหรือเป็นกิจการแห่งอนาคต ต่าง ๆ เหล่านี้
ราคาของหุ้นจะสูงจนทำให้ค่า PE และค่า PB สูงมากจนบางครั้งนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI สไตล์ เบน เกรแฮม ซึ่งเน้นการซื้อหุ้นราคาถูก “รับไม่ได้” เพราะเมื่อเขาคำนวณหา “มูลค่าพื้นฐาน” ของหุ้นที่เป็นตัวเลขแล้ว เขาจะพบว่าดูอย่างไรก็ “Over Value” อยู่ดี
2.“Speculation Premium”
ราคาหุ้น “ส่วนที่เกินพื้นฐาน” ที่เกิดขึ้นเนื่องจากหุ้นตัวนั้นมี “การเก็งกำไร” สูงมากกว่าปกติ เหตุผลที่ตลาดให้ราคาหุ้นเก็งกำไรสูงกว่าปกติ เป็นเพราะว่านักเล่นหุ้นจำนวนมากในตลาดหุ้นไทยชอบเล่นหุ้นที่มีราคาหวือหวาขึ้นลงเร็วมากกว่าหุ้นที่ค่อย ๆ เติบโตไปเรื่อย ๆ พวกเขายินดีที่จะจ่าย “Premium” ซึ่งก็คงจะคล้าย ๆ กับ “ค่าต๋ง” ในการเล่นการพนันให้กับนายบ่อนเวลาเล่นการพนัน Premium ที่พวกเขาจ่ายก็เป็นคล้าย ๆ กับ “ค่าธรรมเนียม” ในการที่จะได้เล่นหุ้นที่ขึ้นลงเร็วและมีปริมาณการซื้อขายหุ้นมหาศาลที่ทำให้เขาสามารถที่จะเข้าหรือออกได้ตลอดเวลารวมทั้งสามารถใช้มาร์จินในการซื้อขายหุ้นได้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม Speculation Premium นั้น มักจะอยู่ไม่ถาวร เมื่อการเก็งกำไรลดลง ด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งทำให้ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันลดลงมาใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของตลาด Speculation Premium ของหุ้นก็อาจจะหายไปได้
3.“Institution Premium”
นี่คือการที่หุ้นมีราคาเกินจากพื้นฐานเนื่องจากการที่หุ้นตัวนั้น ที่แต่เดิมไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุนสถาบัน กลายเป็นหุ้นที่สถาบันการลงทุนสนใจที่จะเข้ามาซื้อหุ้นลงทุนด้วยเหตุผลบางอย่างเช่น บริษัทได้รับการจัดอันดับให้เข้าไปอยู่ในดัชนีเช่น MSCI SET50 SET100 หรือกิจการมีขนาดใหญ่ขึ้นจากการควบรวมหรือการขยายตัวอย่างรวดเร็วจนเข้าเกณฑ์ที่สถาบันลงทุนขนาดใหญ่จากต่างประเทศสนใจเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นของบริษัท ผลกระทบจากการนี้ทำให้หุ้นมักมีการปรับตัวขึ้นไปแรงโดยเฉพาะในครั้งแรก
4. “Owner Premium”
หรือราคาหุ้นที่สูงเกินจากพื้นฐานปกติเนื่องจาก “มีคนยอมจ่ายเพื่อให้ได้เป็นเจ้าของ” พูดแบบนี้อาจจะทำให้งงเพราะหุ้นทุกตัวก็มีผู้ถือหุ้นที่เป็นเจ้าของอยู่แล้ว แต่ความหมายของผมก็คือ หุ้นนั้นเดิมไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่พอที่จะควบคุมบริษัทได้แบบเบ็ดเสร็จ แล้วอยู่ ๆ ก็มีคนอื่นเข้ามาซื้อหุ้นจำนวนมากเพื่อให้ได้สิทธิที่จะควบคุมบริษัทแทนผู้บริหารเดิม คนที่เข้ามาเพื่อที่จะเทคโอเวอร์บริษัทนั้น เขายอมจ่ายแพงกว่าปกติได้เพราะเขาคิดว่าเขาสามารถปรับปรุงพื้นฐานของบริษัทให้ดีขึ้นได้ซึ่งทำให้คุ้มค่าที่จะจ่าย หรือบางคนก็อาจจะคิดว่าการเข้าไปเป็นผู้บริหารบริษัทอาจจะทำให้เขาได้ประโยชน์อย่างอื่นเป็นการส่วนตัว เช่น สามารถ “เล่นหุ้น” ตัวนั้นให้ได้กำไร หรือสามารถ “กินเงินเดือน” หรือรับประโยชน์อย่างอื่นในบริษัทในฐานะผู้บริหาร ซึ่งคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มเพื่อเทคโอเวอร์บริษัทนั้น อย่างไรก็ตาม ในฐานะคนนอกที่เป็นนักลงทุน เราก็ต้องระวังว่า Premium ในส่วนนี้อาจจะหายไปได้ง่าย ๆ เมื่อการเทคโอเวอร์จบลง
5.“Celebrity Premium”
นี่เป็นคำที่ผมเรียกเองซึ่งอาจจะไม่ตรงนักแต่ความหมายของผมก็คือ หุ้นมีราคาสูงเกินจากพื้นฐานไปเนื่องจากการที่หุ้นตัวนั้นถูกซื้อโดย “เซียน” ที่นักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นเชื่อถือมาก ทำให้นักเล่นหุ้นหรือนักลงทุนคนอื่นแห่เข้าซื้อตาม ผลก็คือ ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น บ่อยครั้งที่มีข่าวว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ เข้าซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ราคาหุ้นก็มักจะวิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็วและผมเชื่อว่าหลายครั้งราคาหุ้นขึ้นไปเกินพื้นฐาน ส่วนตัวอย่างที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยนั้น ในอดีตช่วงที่ตลาดหุ้นไทยยังเล็กกว่านี้และเรามีแต่ “นักเล่นหุ้น” ถ้ามีข่าวว่า “เสี่ย” คนนั้นคนนี้เข้าไปเล่นหุ้นตัวไหน หุ้นตัวนั้นก็จะวิ่งไปแรงและเร็วมาก แต่ถ้าเป็นในช่วงที่ Value Investment กลายเป็น “กระแสหลัก” อย่างหนึ่งในปัจจุบัน ถ้ามีข่าวว่ามี “เซียน VI” เข้าไปเล่นกันมาก หุ้นตัวนั้นก็วิ่งไปแรงเกินกว่าพื้นฐานได้เหมือนกัน
การมองหาหุ้นที่มีศักยภาพสูงที่จะได้รับ Premium ในอนาคตเนื่องจากหุ้นหรือบริษัทกำลังมีพัฒนาการที่จะนำไปสู่การเป็นหุ้นที่จะมี Premium เช่น บริษัทมีความโดดเด่นมากขึ้นเรื่อย ๆ และเราคาดว่าในที่สุดบริษัทก็จะกลายเป็น Super Stock หรือ เรามองว่าในไม่ช้าบริษัทก็จะได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่นักลงทุนสถาบันจะเข้ามาลงทุน หรือ เราเห็นว่าบริษัทจะเป็นเป้าหมายของการเทคโอเวอร์ที่จะเกิดขึ้น ต่าง ๆ เหล่านี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น