คำพูดอมตะ
1.เบน เกรแฮม “ตลาดหุ้นในระยะสั้นเป็นเสมือนเครื่องลงคะแนน แต่ในระยะยาวเป็นเสมือนเครื่องชั่ง” ความหมายก็คือ ในระยะสั้น ๆ นั้น ราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจซื้อขายของนักลงทุน ถ้าคนเชื่อและลงความเห็นว่ามันจะขึ้นมากกว่าคนที่คิดว่ามันจะลง ราคาก็จะขึ้นตามการ “ลงคะแนน” ของนักลงทุน แต่ในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทว่ามันจะมีกำไรมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีกำไรมากหรือเทียบกับว่ามีน้ำหนักมาก ตลาดก็จะให้ราคาหุ้นสูงขึ้นตามกำไรหรือน้ำหนักนั้น
2.วอเร็น บัฟเฟตต์ “หลักการรวบยอดสำหรับนักลงทุนก็คือ การเลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่” “มันเป็นเรื่องดีกว่ามากที่จะซื้อบริษัทที่ดีเยี่ยมในราคาที่ยุติธรรม แทนที่จะซื้อบริษัทที่ดีพอควรในราคาที่ถูกมาก”
3.จอร์จ โซรอส “สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าคุณถูกหรือผิด แต่สิ่งสำคัญก็คือ คุณกำไรเท่าไรเมื่อคุณถูก และคุณขาดทุนเท่าไรเมื่อคุณผิด” คุณต้องรู้ตัวเร็วว่าคุณคิดผิด แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าโอกาสชนะสูงมากคุณจะต้องกล้า “เดิมพัน” และทำกำไรมโหฬาร หรือกล้าที่จะ let profit run หรือถือทำกำไรมาก ๆ ก่อนที่จะขายได้
4.Jesse Livermore “ตลาดหุ้นคือที่ที่อันตรายมากสำหรับคนที่ไม่ชอบทำการบ้าน คนโง่ และคนที่ชอบรวยทางลัด”
5.ปีเตอร์ ลินช์ “ราคาหุ้นกับกำไรจะไปด้วยกันเสมอ ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”
6.บัฟเฟตต์ “จงพยายามกลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภ และโลภเมื่อคนอื่นกำลังกลัว”
7.ลอร์ด เคน ในระยะยาวแล้ว ทุกคนก็ตายหมด” อย่ารอเวลาโดยอ้างว่าเป็นเรื่องระยะยาว ถ้าจะมีผลมันก็ต้องเห็นในเวลาอันสั้น ถ้าจะประยุกต์ใช้กับการลงทุนก็คือ ถ้าคุณลงทุนมาหลายปียังไม่เห็นมรรคผล โอกาสก็คือ วิธีหรือกลยุทธ์ที่ใช้คงผิดพลาด ต้องเปลี่ยนแปลง อย่าคิดว่าต่อไปมันจะดีโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ
--------------------------------------------------
Jesse Livermore
หลังเหตุการณ์วิกฤติตลาดหุ้นในปี 1907 เหตุการณ์หุ้นถล่มทลายในครั้งนั้น J.L. ได้ขายหุ้นชอร์ตไว้จำนวนมาก ยิ่งหุ้นตก เขาก็ยิ่งขายและทำให้หุ้นตกลงไปอีก การขายหุ้นชอร์ตของเขาทำได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากเมื่อหุ้นตก พอร์ตเขาก็ได้กำไรซึ่งก็จะทำให้เขามีวงเงินใช้มาร์จินเพิ่มขึ้นอีก เขาขายชอร์ตมากเสียจนทำให้ J. P. Morgan ประธานบริษัทหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่ และเป็น “จ้าวพ่อตลาดหุ้น” ในช่วงนั้นต้องออกมาขอให้เขาหยุดขาย เพราะมิฉะนั้น ตลาดหลักทรัพย์อาจจะต้อง “ล่มสลาย” เนื่องจากสถาบันการเงินต่างก็ขาดสภาพคล่องอันเป็นผลจากการที่หุ้นตกลงมาอย่างหนัก
Jesse Livermore
หลังเหตุการณ์วิกฤติตลาดหุ้นในปี 1907 เหตุการณ์หุ้นถล่มทลายในครั้งนั้น J.L. ได้ขายหุ้นชอร์ตไว้จำนวนมาก ยิ่งหุ้นตก เขาก็ยิ่งขายและทำให้หุ้นตกลงไปอีก การขายหุ้นชอร์ตของเขาทำได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากเมื่อหุ้นตก พอร์ตเขาก็ได้กำไรซึ่งก็จะทำให้เขามีวงเงินใช้มาร์จินเพิ่มขึ้นอีก เขาขายชอร์ตมากเสียจนทำให้ J. P. Morgan ประธานบริษัทหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่ และเป็น “จ้าวพ่อตลาดหุ้น” ในช่วงนั้นต้องออกมาขอให้เขาหยุดขาย เพราะมิฉะนั้น ตลาดหลักทรัพย์อาจจะต้อง “ล่มสลาย” เนื่องจากสถาบันการเงินต่างก็ขาดสภาพคล่องอันเป็นผลจากการที่หุ้นตกลงมาอย่างหนัก
วิกฤติตลาดหุ้นปี 1929 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ J.L. ทำกำไรได้มากมายจากการชอร์ตหุ้นในตลาด เขาผ่านวิกฤติมาพร้อมกับเงินนับ 100 ล้านเหรียญ และนี่เป็นความรุ่งโรจน์ครั้งสุดท้ายของชีวิตเขา เพราะหลังจากนั้นเขาก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อย ๆ ทั้งชีวิตการเก็งกำไรและชีวิตส่วนตัว
กฎและกลยุทธการเก็งกำไรของ J.L.
1. อย่าขาดทุน นักเก็งกำไรที่ไม่มีเงินก็เหมือนกับเจ้าของร้านที่ไม่มีสินค้าอยู่ในสต็อก การซื้อหุ้นเต็มจำนวนในคราวเดียวที่ราคาเดียวนั้นอันตราย คุณควรทยอยซื้อเมื่อแน่ใจว่าสิ่งที่คิดไว้ถูกต้อง ซื้อแล้วดูว่าราคาขึ้นหรือไม่ ถ้าใช่ ทยอยซื้อเพิ่ม สรุปก็คือ ทยอยซื้อเมื่อราคาขึ้น ห้ามซื้อเฉลี่ยเมื่อหุ้นลง
2.กำหนดจุดตัดขาดทุน ถ้าซื้อหุ้นแล้วขาดทุน ต้องกำหนดว่าจะยอมขาดทุนได้ไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ สำหรับเขาจะไม่ยอมให้ขาดทุนเกิน 10%เพราะเขาคิดว่าเวลาขาดทุนนั้น การจะเอาทุนคืนได้จะต้องกำไรมากกว่าเปอร์เซ็นต์ที่ขาดทุนจึงจะเสมอตัว ถ้าขาดทุน 50% กว่าจะคืนทุนก็ต้องกำไร 100% อีกอย่างก็คือ ถ้าซื้อแล้วหุ้นลงแสดงว่าสิ่งที่คุณคิดไว้คงผิด อย่าไปฝืนกระแส ตัดขาดทุนเสียแล้วไปเล่นตัวใหม่เมื่อเห็นโอกาส
3.จะต้องมีเงินสดสำรองเสมอ เงินสดนี้จะมีความสำคัญมากเมื่อถึงจุดที่โอกาสในการเก็งกำไรเปิด และเมื่อมีโอกาสดี เราก็จะต้อง “อัด” หรือลงเงินให้เต็มที่ J.L. เชื่อว่าคุณไม่จำเป็นต้องลงทุนตลอดเวลาและไม่ควรลงตลอดเวลา จะเล่นต่อเมื่อมีโอกาสเท่านั้น
4.อย่ารีบทำกำไร หรือ Let Profit Run นั่นคือ ถ้าหุ้นยังวิ่งไปเรื่อย ๆ อย่ารีบขายเสียก่อน ตรงกันข้าม ถ้าซื้อหุ้นแล้วขาดทุน หุ้นตกลงไปเร็ว อย่ารอหรือพยายามหาเหตุผลที่มันตก ต้องรีบขายทันที เขาบอกว่า “กำไรดูแลตัวมันเองได้ แต่ขาดทุนไม่เคย” อย่างไรก็ตาม การ Let Profit Run ไม่ได้แปลว่าซื้อแล้วถือแบบนักลงทุน เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องขาย
5.เมื่อได้กำไรต้องเก็บเป็นเงินสด เช่น ถ้าได้กำไรมาร้อยเหรียญ ก็ต้องเก็บเป็นเงินสดไว้ในแบ็งค์ 50 เหรียญ อย่าจมอยู่ในหุ้นหรือไปเล่นต่อทั้งหมด นี่ก็เหมือนกับเวลาเล่นไพ่ ถ้าได้กำไรก็เก็บเงินเข้ากระเป๋าเอาทุนคืนมาก่อน และนี่ก็เป็นกฏที่ J.L. บอกว่าตนเองผิดพลาดที่ไม่ได้ทำเท่าที่ควร ทำให้เงินที่ได้มามาก ๆ ในที่สุดก็เสียคืนกลับไปหมด
กฎและกลยุทธการเก็งกำไรของ J.L.
1. อย่าขาดทุน นักเก็งกำไรที่ไม่มีเงินก็เหมือนกับเจ้าของร้านที่ไม่มีสินค้าอยู่ในสต็อก การซื้อหุ้นเต็มจำนวนในคราวเดียวที่ราคาเดียวนั้นอันตราย คุณควรทยอยซื้อเมื่อแน่ใจว่าสิ่งที่คิดไว้ถูกต้อง ซื้อแล้วดูว่าราคาขึ้นหรือไม่ ถ้าใช่ ทยอยซื้อเพิ่ม สรุปก็คือ ทยอยซื้อเมื่อราคาขึ้น ห้ามซื้อเฉลี่ยเมื่อหุ้นลง
2.กำหนดจุดตัดขาดทุน ถ้าซื้อหุ้นแล้วขาดทุน ต้องกำหนดว่าจะยอมขาดทุนได้ไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ สำหรับเขาจะไม่ยอมให้ขาดทุนเกิน 10%เพราะเขาคิดว่าเวลาขาดทุนนั้น การจะเอาทุนคืนได้จะต้องกำไรมากกว่าเปอร์เซ็นต์ที่ขาดทุนจึงจะเสมอตัว ถ้าขาดทุน 50% กว่าจะคืนทุนก็ต้องกำไร 100% อีกอย่างก็คือ ถ้าซื้อแล้วหุ้นลงแสดงว่าสิ่งที่คุณคิดไว้คงผิด อย่าไปฝืนกระแส ตัดขาดทุนเสียแล้วไปเล่นตัวใหม่เมื่อเห็นโอกาส
3.จะต้องมีเงินสดสำรองเสมอ เงินสดนี้จะมีความสำคัญมากเมื่อถึงจุดที่โอกาสในการเก็งกำไรเปิด และเมื่อมีโอกาสดี เราก็จะต้อง “อัด” หรือลงเงินให้เต็มที่ J.L. เชื่อว่าคุณไม่จำเป็นต้องลงทุนตลอดเวลาและไม่ควรลงตลอดเวลา จะเล่นต่อเมื่อมีโอกาสเท่านั้น
4.อย่ารีบทำกำไร หรือ Let Profit Run นั่นคือ ถ้าหุ้นยังวิ่งไปเรื่อย ๆ อย่ารีบขายเสียก่อน ตรงกันข้าม ถ้าซื้อหุ้นแล้วขาดทุน หุ้นตกลงไปเร็ว อย่ารอหรือพยายามหาเหตุผลที่มันตก ต้องรีบขายทันที เขาบอกว่า “กำไรดูแลตัวมันเองได้ แต่ขาดทุนไม่เคย” อย่างไรก็ตาม การ Let Profit Run ไม่ได้แปลว่าซื้อแล้วถือแบบนักลงทุน เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องขาย
5.เมื่อได้กำไรต้องเก็บเป็นเงินสด เช่น ถ้าได้กำไรมาร้อยเหรียญ ก็ต้องเก็บเป็นเงินสดไว้ในแบ็งค์ 50 เหรียญ อย่าจมอยู่ในหุ้นหรือไปเล่นต่อทั้งหมด นี่ก็เหมือนกับเวลาเล่นไพ่ ถ้าได้กำไรก็เก็บเงินเข้ากระเป๋าเอาทุนคืนมาก่อน และนี่ก็เป็นกฏที่ J.L. บอกว่าตนเองผิดพลาดที่ไม่ได้ทำเท่าที่ควร ทำให้เงินที่ได้มามาก ๆ ในที่สุดก็เสียคืนกลับไปหมด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น