วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555


คำพูดอมตะ

1.เบน เกรแฮม ตลาดหุ้นในระยะสั้นเป็นเสมือนเครื่องลงคะแนน  แต่ในระยะยาวเป็นเสมือนเครื่องชั่ง”  ความหมายก็คือ  ในระยะสั้น ๆ  นั้น  ราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจซื้อขายของนักลงทุน  ถ้าคนเชื่อและลงความเห็นว่ามันจะขึ้นมากกว่าคนที่คิดว่ามันจะลง  ราคาก็จะขึ้นตามการ  “ลงคะแนน” ของนักลงทุน  แต่ในระยะยาวแล้ว  ราคาหุ้นขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทว่ามันจะมีกำไรมากน้อยแค่ไหน  ถ้ามีกำไรมากหรือเทียบกับว่ามีน้ำหนักมาก  ตลาดก็จะให้ราคาหุ้นสูงขึ้นตามกำไรหรือน้ำหนักนั้น
2.วอเร็น บัฟเฟตต์ “หลักการรวบยอดสำหรับนักลงทุนก็คือ  การเลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม  และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่”   “มันเป็นเรื่องดีกว่ามากที่จะซื้อบริษัทที่ดีเยี่ยมในราคาที่ยุติธรรม  แทนที่จะซื้อบริษัทที่ดีพอควรในราคาที่ถูกมาก”
3.จอร์จ โซรอส “สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าคุณถูกหรือผิด  แต่สิ่งสำคัญก็คือ  คุณกำไรเท่าไรเมื่อคุณถูก  และคุณขาดทุนเท่าไรเมื่อคุณผิด”   คุณต้องรู้ตัวเร็วว่าคุณคิดผิด   แต่ในทางตรงกันข้าม  ถ้าโอกาสชนะสูงมากคุณจะต้องกล้า “เดิมพัน”  และทำกำไรมโหฬาร  หรือกล้าที่จะ  let profit run  หรือถือทำกำไรมาก ๆ  ก่อนที่จะขายได้
4.Jesse Livermore   “ตลาดหุ้นคือที่ที่อันตรายมากสำหรับคนที่ไม่ชอบทำการบ้าน  คนโง่  และคนที่ชอบรวยทางลัด”  
5.ปีเตอร์ ลินช์  “ราคาหุ้นกับกำไรจะไปด้วยกันเสมอ  ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร  ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”  
6.บัฟเฟตต์  “จงพยายามกลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภ  และโลภเมื่อคนอื่นกำลังกลัว”
7.ลอร์ด เคน  ในระยะยาวแล้ว  ทุกคนก็ตายหมด” อย่ารอเวลาโดยอ้างว่าเป็นเรื่องระยะยาว  ถ้าจะมีผลมันก็ต้องเห็นในเวลาอันสั้น  ถ้าจะประยุกต์ใช้กับการลงทุนก็คือ  ถ้าคุณลงทุนมาหลายปียังไม่เห็นมรรคผล  โอกาสก็คือ  วิธีหรือกลยุทธ์ที่ใช้คงผิดพลาด  ต้องเปลี่ยนแปลง  อย่าคิดว่าต่อไปมันจะดีโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ
--------------------------------------------------
Jesse Livermore
หลังเหตุการณ์วิกฤติตลาดหุ้นในปี 1907  เหตุการณ์หุ้นถล่มทลายในครั้งนั้น  J.L. ได้ขายหุ้นชอร์ตไว้จำนวนมาก  ยิ่งหุ้นตก  เขาก็ยิ่งขายและทำให้หุ้นตกลงไปอีก  การขายหุ้นชอร์ตของเขาทำได้มากขึ้นเรื่อย ๆ  เนื่องจากเมื่อหุ้นตก  พอร์ตเขาก็ได้กำไรซึ่งก็จะทำให้เขามีวงเงินใช้มาร์จินเพิ่มขึ้นอีก  เขาขายชอร์ตมากเสียจนทำให้ J. P. Morgan ประธานบริษัทหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่  และเป็น “จ้าวพ่อตลาดหุ้น”  ในช่วงนั้นต้องออกมาขอให้เขาหยุดขาย  เพราะมิฉะนั้น  ตลาดหลักทรัพย์อาจจะต้อง “ล่มสลาย”  เนื่องจากสถาบันการเงินต่างก็ขาดสภาพคล่องอันเป็นผลจากการที่หุ้นตกลงมาอย่างหนัก
         วิกฤติตลาดหุ้นปี 1929 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่  J.L. ทำกำไรได้มากมายจากการชอร์ตหุ้นในตลาด  เขาผ่านวิกฤติมาพร้อมกับเงินนับ 100 ล้านเหรียญ  และนี่เป็นความรุ่งโรจน์ครั้งสุดท้ายของชีวิตเขา เพราะหลังจากนั้นเขาก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อย ๆ  ทั้งชีวิตการเก็งกำไรและชีวิตส่วนตัว
กฎและกลยุทธการเก็งกำไรของ J.L.
1. อย่าขาดทุน  นักเก็งกำไรที่ไม่มีเงินก็เหมือนกับเจ้าของร้านที่ไม่มีสินค้าอยู่ในสต็อก การซื้อหุ้นเต็มจำนวนในคราวเดียวที่ราคาเดียวนั้นอันตราย  คุณควรทยอยซื้อเมื่อแน่ใจว่าสิ่งที่คิดไว้ถูกต้อง  ซื้อแล้วดูว่าราคาขึ้นหรือไม่  ถ้าใช่ ทยอยซื้อเพิ่ม สรุปก็คือ  ทยอยซื้อเมื่อราคาขึ้น  ห้ามซื้อเฉลี่ยเมื่อหุ้นลง
2.กำหนดจุดตัดขาดทุน  ถ้าซื้อหุ้นแล้วขาดทุน  ต้องกำหนดว่าจะยอมขาดทุนได้ไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์  สำหรับเขาจะไม่ยอมให้ขาดทุนเกิน 10%เพราะเขาคิดว่าเวลาขาดทุนนั้น  การจะเอาทุนคืนได้จะต้องกำไรมากกว่าเปอร์เซ็นต์ที่ขาดทุนจึงจะเสมอตัว ถ้าขาดทุน 50% กว่าจะคืนทุนก็ต้องกำไร 100%  อีกอย่างก็คือ  ถ้าซื้อแล้วหุ้นลงแสดงว่าสิ่งที่คุณคิดไว้คงผิด  อย่าไปฝืนกระแส  ตัดขาดทุนเสียแล้วไปเล่นตัวใหม่เมื่อเห็นโอกาส
3.จะต้องมีเงินสดสำรองเสมอ  เงินสดนี้จะมีความสำคัญมากเมื่อถึงจุดที่โอกาสในการเก็งกำไรเปิด  และเมื่อมีโอกาสดี  เราก็จะต้อง  “อัด”  หรือลงเงินให้เต็มที่  J.L. เชื่อว่าคุณไม่จำเป็นต้องลงทุนตลอดเวลาและไม่ควรลงตลอดเวลา  จะเล่นต่อเมื่อมีโอกาสเท่านั้น
4.อย่ารีบทำกำไร  หรือ Let Profit Run นั่นคือ  ถ้าหุ้นยังวิ่งไปเรื่อย ๆ  อย่ารีบขายเสียก่อน  ตรงกันข้าม  ถ้าซื้อหุ้นแล้วขาดทุน  หุ้นตกลงไปเร็ว  อย่ารอหรือพยายามหาเหตุผลที่มันตก  ต้องรีบขายทันที  เขาบอกว่า  “กำไรดูแลตัวมันเองได้  แต่ขาดทุนไม่เคย”  อย่างไรก็ตาม  การ Let Profit Run ไม่ได้แปลว่าซื้อแล้วถือแบบนักลงทุน  เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องขาย
5.เมื่อได้กำไรต้องเก็บเป็นเงินสด  เช่น  ถ้าได้กำไรมาร้อยเหรียญ  ก็ต้องเก็บเป็นเงินสดไว้ในแบ็งค์  50 เหรียญ  อย่าจมอยู่ในหุ้นหรือไปเล่นต่อทั้งหมด  นี่ก็เหมือนกับเวลาเล่นไพ่  ถ้าได้กำไรก็เก็บเงินเข้ากระเป๋าเอาทุนคืนมาก่อน  และนี่ก็เป็นกฏที่ J.L. บอกว่าตนเองผิดพลาดที่ไม่ได้ทำเท่าที่ควร  ทำให้เงินที่ได้มามาก ๆ  ในที่สุดก็เสียคืนกลับไปหมด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น