วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ทองนั้นจะปรับตัวขึ้นเมื่อเกิดเหตุหรือสภาวการณ์ใหญ่ ๆ  3  ประการ
1.เมื่อเกิดภาวะ  “วิกฤติ” ทางการเงินหรือเศรษฐกิจ + ปัญหาทางการเมืองและสงครามก็มักจะทำให้ราคาทองพุ่ง  เหตุผลก็คือ  ทองนั้นสามารถรักษามูลค่าของมันได้เสมอ  เพราะมันเป็นที่ต้องการของคนทั้งโลก  
2. เมื่อเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงหรือลดค่าลง  เหตุผลก็คือ  ทองนั้นเป็นคล้าย ๆ  กับเงินสกุลหนึ่งที่สามารถใช้แลกเปลี่ยนกับสินค้าหรือเงินได้ทั้งโลกเหมือนกับเงินดอลลาร์สหรัฐเหมือนกัน  ดังนั้น  เมื่อเงินดอลลาร์อ่อน  ทองก็มัก  “แข็ง”  หรือมีราคาสูงขึ้นนั่นเอง
3.เมื่อเงินเฟ้อมีอัตราสูง  นั่นก็คือ  มีเงินหมุนเวียนในระบบมากเกินไป  มากกว่าของหรือสินค้าที่มีอยู่  ดังนั้น  เงินก็จะมาไล่ซื้อทองจึงทำให้ราคาทองปรับตัวสูงขึ้นเพื่อรักษาค่าของมัน
-------------------------------------------------------
 “หุ้นหลายเด้ง”   
นอกจากกำไรเป็นหลายเท่าตัวแล้ว  หุ้นหลายเด้งที่ว่านั้น  จะต้องมีจำนวนเป็นเม็ดเงินอย่างมีนัยสำคัญ
- หุ้นหลายเด้งนั้นจะต้องมีขนาดพอสมควรที่ทำให้ผลตอบแทนรวมของพอร์ตสูงกว่าปกติต่อเนื่องกันหลายปี   พูดง่าย  ๆ  ถ้าตัดหุ้นตัวนี้ออก  ผลตอบแทนรวมของพอร์ตอาจจะดูธรรมดามาก  หรือพูดอีกทางหนึ่งก็คือ  หุ้นหลายเด้งเป็นหุ้นที่สร้างความแตกต่างระหว่าง “เซียน” กับนักลงทุนธรรมดา


 1. หุ้นที่จะเติบโตขึ้นมาหลาย ๆ  เท่าตัวได้ในระยะเวลาไม่นาน ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 3-5 เท่าตัวในเวลาไม่เกิน 5 ปี โดยที่หุ้นตัวนั้นไม่ได้ถูก  “ทำราคา”  หรือ “ปั่น” 
หุ้น  3  กลุ่มใหญ่ ๆ
1.หุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีวัฎจักรขึ้นลงรุนแรง  เช่น  ธุรกิจเดินเรือ  ปิโตรเคมี  แร่ธาตุที่หายาก  หรือสินค้าเกษตรที่ต้องใช้เวลาในการปลูกยาวนานเช่นยางพารา  เป็นต้น 
วิธีที่ได้ผลมากที่สุดก็คือ  ซื้อหุ้นในยามที่หุ้นอยู่ในช่วงที่อุตสาหกรรมตกต่ำสุดและไม่มีคนสนใจและพูดถึงเลย  และ  เรารู้หรือมั่นใจว่าอุตสาหกรรมกำลังฟื้นตัวและการฟื้นตัวนั้น  จะฟื้นตัวอย่างแรงด้วยเหตุผลที่ชัดเจนถูกต้อง  และเมื่อสิ่งที่เราคาดไว้ถูกต้อง  หุ้นปรับตัวขึ้นแล้วในรอบแรก   เราจะต้องถือหุ้นต่อไปจนกว่าวัฏจักรจะเป็นขาขึ้นเต็มตัวซึ่งราคาหุ้นก็จะปรับตัวตามไปเรื่อย ๆ   เราจะขายต่อเมื่อทุกอย่าง “ดูดีหมด”  โบรกเกอร์เกือบทุกสำนักจะเชียร์หุ้นตัวนั้น  นักลงทุนแทบจะทุกกลุ่มต่างก็ดูว่าเป็นหุ้น  “สุดยอด”  เพราะ  “กำไรดีมาก”  ผู้บริหาร  “คาดการณ์แม่นมีวิสัยทัศน์”  บริษัท “ขยายตัวต่อเนื่อง”  และที่สุดยอดก็คือ  “เงินสดเพียบและไม่มีหนี้เลย”  เมื่อเกิดภาวการณ์แบบนี้  อย่ารอที่จะขายหุ้นทิ้ง
2.หุ้นหลายเด้งกลุ่มต่อไปก็คือ  “หุ้นฟื้นตัว”  นี่คือหุ้นที่ประสบปัญหาการดำเนินงานจนแทบจะเอาตัวไม่รอด  หลาย ๆ  บริษัทต้องเข้าแผนฟื้นฟู  บางบริษัทหุ้นถูกพักการซื้อขาย  ราคาหุ้นจะตกต่ำมาก  ดูจาก Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งบริษัทจะมีมูลค่าต่ำมากเทียบกับยอดขาย   ถึงแม้ว่าบริษัทจะขาดทุนอย่างหนักและติดต่อกันมานานพอสมควรแต่กิจการก็ยังดำเนินต่อไปและก็ยังสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้  ยี่ห้อสินค้าของบริษัทเองก็ยังเป็นที่ยอมรับของลูกค้า  ที่สำคัญก็คือ  ทรัพย์สินของบริษัทเองเช่นโรงงานและอุปกรณ์ต่าง ๆ  ก็ยังมีค่าและมีคนต้องการ   และที่สำคัญประเด็นสุดท้ายก็คือ  หนี้ของบริษัทไม่มากเกินไปเมื่อเทียบกับทรัพย์สินที่มีอยู่ตามราคาตลาด  การซื้อหุ้นแบบนี้  บางครั้งก็ทำได้ยากเพราะปริมาณการซื้อขายหุ้นมีน้อยมากเนื่องจากบริษัทมีขนาดเล็กมากในแง่ของมูลค่าหุ้น  อย่างไรก็ตาม  ถ้าบริษัทเริ่มฟื้นจริง ๆ  ราคาหุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้นไปสูงและเร็วมาก  บางครั้งปรับตัวเกินพื้นฐานไปด้วยเนื่องจากแรงเก็งกำไรของนักลงทุน  ดังนั้น  เราอาจจะขายทิ้งไปเมื่อหุ้นกำลัง “ร้อนจัด”
3.หุ้นโตเร็ว  นี่คือหุ้นที่เติบโตต่อไปได้ยาวนานไม่ต่ำกว่า 5 ปี โดยที่จะโตได้เป็นสองหลักทั้งในแง่รายได้และกำไร  และกำไรจะโตมากกว่ารายได้  เช่น  รายได้อาจจะโต 15% ต่อปี  ในขณะที่กำไรจะโตถึง 20%  ต่อปี โดยเฉลี่ย  ประเด็นสำคัญในการมองหาหุ้นในกลุ่มนี้ก็คือเรื่องของการวิเคราะห์คาดการณ์การเติบโตและคุณสมบัติของตัวกิจการนั่นก็คือ  บริษัทต้องเป็นบริษัทที่โตอย่างแท้จริงซึ่งก็คือ  เมื่อรายได้และกำไรโตขึ้นแล้วจะต้องไม่ลดลงหรือเรียกว่า “โตอย่างถาวร”  ความเสี่ยงที่รายได้และกำไรจะลดลงในอนาคตมีน้อยมาก  ประการต่อมาก็คือ  การโตของบริษัทนั้น  ไม่ควรจะต้องมีการลงทุนในสินทรัพย์มาก   ถ้าโตได้โดยที่  “แทบไม่ต้องลงทุนเลย”  ก็ยิ่งดี  แต่ถ้าโตโดยที่ต้องลงทุนมากก็จะเป็นการเติบโตที่  “ไม่มีประโยชน์” เพราะกิจการอาจจะไม่สามารถจ่ายปันผลให้เราได้เพิ่มเติมเนื่องจากเวลามีกำไร  ก็มักจะต้องเอาเงินนั้นไปลงทุนต่อ  เงินนั้นไม่มาถึงผู้ถือหุ้นเท่าไรนัก  วิธีที่จะดูว่าเป็นการโตที่มีประโยชน์หรือไม่ทางหนึ่งก็คือ  ดูว่าค่า ROE หรือกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทสูงแค่ไหน  ถ้าต่ำกว่า 10%  ผมก็คิดว่าเป็นการโตที่ไม่มีประโยชน์  ถ้าสูงกว่า 20% ผมคิดว่าเป็นการโตที่ดีมาก  ข้อมูลอีกตัวหนึ่งก็คือ  บริษัทที่จะโต  ไม่ควรมีหนี้เงินกู้มาก  ถ้าจะให้ดีไม่ควรเกิน 1 เท่าของเงินทุนของบริษัท  ถ้าโตโดยไม่มีหนี้เลยก็ยิ่งดีใหญ่


-การซื้อหุ้นของบริษัทที่โตเร็วนั้น  ควรซื้อในยามที่ราคาหุ้นยังไม่แพง  ซึ่งอาจจะเป็นเพราะคนยังไม่ตระหนักว่ามันเป็นหุ้นโตเร็ว  หรืออาจจะเกิดจากเหตุการณ์บางอย่างเช่นเรื่องของภาวะวิกฤติเศรษฐกิจหรือปัญหาบางอย่างของบริษัทที่สามารถแก้ไขได้  เมื่อซื้อแล้วและราคาหุ้นเริ่มปรับตัวขึ้นไป  อย่ารีบขาย  ถือไปเรื่อยไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีขึ้นไป ที่จริง 5 ปีขึ้นไปยิ่งดี  แต่จุดขายจริง ๆ  น่าจะเป็นช่วงเวลาที่การเติบโตเริ่มชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญหรือบริษัทอาจจะเริ่มเผชิญกับคู่แข่งที่น่ากลัว  อย่างไรก็ตาม  การขายหุ้นโตเร็วนั้น  ความจำเป็นที่จะต้องขายอย่างรีบเร่งน่าจะน้อยกว่าหุ้นวัฏจักรหรือหุ้นฟื้นตัวมาก  เพราะหุ้นโตเร็วนั้น  ราคาหุ้นเมื่อการเติบโตเริ่มช้าลงนั้น  มักจะค่อย ๆ  ปรับตัวลงตามอย่างช้า ๆ  มากกว่าจะดิ่งลงเหมือนหุ้นกลุ่มอื่น


-มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงแต่ความเสี่ยงก็มีอยู่ไม่น้อย  ประเด็นก็คือ  เราอาจคาดการณ์ผิด  เราไม่รู้หรือไม่เข้าใจจริง  ที่สำคัญก็คือ  เราไปฟังการวิเคราะห์ของคนอื่นและเราเชื่อว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้อง  โดยสิ่งที่ทำให้เราเชื่อนั้น  นอกจากเรื่องราวต่าง ๆ  เกี่ยวกับอุตสาหกรรมและตัวบริษัท  ก็คือ   ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปอย่างแรงพร้อม ๆ  กับปริมาณการซื้อขายหุ้นที่มากเกินปกติ  ในลักษณะนี้  แม้ว่าสิ่งที่คาดการณ์ไว้เกี่ยวกับกิจการจะเป็นเรื่องจริง  แต่เราก็จะไม่ได้หุ้นหลายเด้ง  ถ้าโชคดี  เราก็อาจจะได้กำไรบ้าง  บางทีก็อาจจะได้สักหนึ่งเด้ง  แต่ถ้าโชคร้าย  เราก็อาจจะขาดทุนอย่างหนักได้เหมือนกัน  คนที่จะได้กำไรหลายเด้งนั้น  จะต้องเป็นคนที่ซื้อหุ้นในราคาที่ยังต่ำมาก  ก่อนที่หุ้นจะเป็นข่าวหรือเป็นที่กล่าวขวัญถึง  และนี่ก็คือ “เซียน”  ตัวจริง
-------------------------------------------------------------
คิดแบบ  VI 
1.ความคิดของเราต้องไม่ลำเอียง
2.ต้อง  คิดยาว  และ  หลายชั้น  มองทะลุให้เห็นถึง  “พื้นฐาน”  
3. คิดถึงเรื่องการแข่งขัน  นี่ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก  เพราะธุรกิจทุกประเภทนั้น  โดยเนื้อหาจริง ๆ  แล้วก็คือการแข่งขัน  “ผู้ชนะ”  มักจะร่ำรวยมั่งคั่งและเติบโตขึ้น   “ผู้แพ้” มักจะจนลงหรือบางทีก็ล้มหายตายจากไป 
4. การคิดโดยตัดอารมณ์ร่วมหรืออารมณ์หมู่  ที่มักจะขยายความรุนแรงของปัญหาหรือทำให้ภาพดูสดใสกว่าความเป็นจริง
--------------------------------------------------
โลกเรานี้มีสิ่งที่ไม่มีคุณค่าหรือเป็น  “อวิชา”   ที่ถูกนำมา  “ขาย”  ให้เป็นสิ่ง  “มหัศจรรย์” ทั้งโดยคนที่หลอกลวงและคนที่เชื่ออย่างบริสุทธิใจว่ามันเป็นสิ่งที่วิเศษ  หลายสิ่งนั้นไม่ได้มีต้นทุนอะไรและก็ไม่ได้ทำให้  “คนซื้อ”  เดือดร้อนหรือเสียหายนี่ก็คงไม่เป็นปัญหานัก  แต่หลายอย่างมี  “ต้นทุน”  ที่สูงมาก  เช่น  เราซื้อหุ้นด้วยเทคนิคที่เราคิดว่าดีแต่จริง ๆ ใช้ไม่ได้ซึ่งทำให้เราขาดทุนหนัก  เพราะฉะนั้น  ทุกครั้งที่เราได้ยินว่ามี  “สิ่งมหัศจรรย์ใหม่”  เราควรที่จะพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจริงไหม?   จากประสบการณ์ของผมพบว่า  เกือบทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น